Filler คืออะไร? ฉีดตรงไหนได้บ้าง? ฉีดแล้วผิวหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร?

Filler คืออะไร ฉีดจุดไหนได้บ้าง

ใครที่กำลังมองหาวิธีทำให้ใบหน้าดูเด็กลง อิ่มเอิบ และมีมิติมากขึ้น Filler อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา! วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Filler ให้มากขึ้น ทั้งเรื่องของประเภท ตำแหน่งที่สามารถฉีดได้ และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับใบหน้าของคุณหลังการฉีด พร้อมตอบทุกข้อสงสัยที่คุณอยากรู้ก่อนตัดสินใจ

Filler มีกี่ประเภท

Filler คือสารที่ใช้ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับใบหน้า ช่วยลดเลือนริ้วรอย และปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยทำมาจากกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ โดย Filler จะมี 3 ประเภท ดังนี้

Filler เนื้อนิ่ม

  • ลักษณะ: มีความยืดหยุ่นสูง เนื้อสารละเอียด
  • เหมาะสำหรับ: บริเวณที่ต้องการความอ่อนนุ่มเป็นธรรมชาติ เช่น ริมฝีปาก
  • ข้อดี: ให้ความรู้สึกนุ่มเป็นธรรมชาติ
  • ข้อเสีย: อยู่ได้ไม่นานเท่าชนิดอื่น

Filler เนื้อแข็ง

  • ลักษณะ: มีความหนืดสูง เนื้อแน่น
  • เหมาะสำหรับ: การเพิ่มโครงหน้า เช่น คาง โหนกแก้ม
  • ข้อดี: อยู่ได้นาน ให้มิติชัดเจน
  • ข้อเสีย: อาจรู้สึกแข็งเมื่อสัมผัส

Filler เนื้อละเอียด

  • ลักษณะ: เนื้อบางเบา ละเอียด
  • เหมาะสำหรับ: บริเวณผิวบาง เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม
  • ข้อดี: ดูเป็นธรรมชาติมาก
  • ข้อเสีย: ต้องใช้ปริมาณมากกว่าชนิดอื่น

ช่วยแก้ปัญหาอะไร แล้วฉีดตรงไหนได้บ้าง

Filler สามารถฉีดได้หลายตำแหน่งบนใบหน้า แต่ละตำแหน่งก็มีจุดประสงค์ และวิธีการฉีดที่แตกต่างกันไป มาดูกันว่าแต่ละตำแหน่งเหมาะกับการแก้ไขปัญหาใดบ้าง

Filler ใต้ตา

ฉีด Filler ใต้ตา เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาร่องตาลึก และถุงใต้ตาที่ได้ผลดี โดยใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อละเอียดในปริมาณ 0.5-1 cc ต่อข้าง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน ช่วยให้ดวงตาดูสดใส ลดความอ่อนล้า และทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น

Filler หน้าผาก

ฉีด Filler หน้าผาก เหมาะสำหรับผู้ที่มีหน้าผากแบน และต้องการเพิ่มมิติ โดยใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อแข็งประมาณ 1-2 cc เพื่อสร้างความโค้งมนที่สวยงาม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสมดุลมากขึ้น

Filler ขมับ

ฉีด Filler ขมับ แก้ไขปัญหาขมับตอบที่ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย โดยใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อแข็งถึงปานกลาง 1-2 cc ต่อข้าง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ช่วยเติมเต็มส่วนที่ตอบให้ดูกลมกลืนกับใบหน้า ทำให้ดูสมส่วนมากขึ้น

Filler ร่องแก้ม

ฉีด Filler ร่องแก้ม เป็นการแก้ไขร่องแก้มที่ลึก ซึ่งเป็นสัญญาณของวัยที่เพิ่มขึ้น ใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อละเอียดถึงปานกลาง 1-1.5 cc ต่อข้าง ให้ผลลัพธ์นาน 12-18 เดือน อีกทั้งยังช่วยลดความลึกของร่องแก้ม ทำให้ใบหน้าดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

Filler แก้มตอบ

ฉีด Filler แก้มตอบ ช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับแก้มที่แบนหรือตอบ โดยใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อแข็งประมาณ 1-2 cc ต่อข้าง ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ทำให้ใบหน้ามีมิติ ดูอิ่มเอิบ และมีความสดใสเป็นธรรมชาติ

Filler ปาก

ฉีด Filler ปาก เป็นการเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก โดยใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อนิ่มประมาณ 0.5-1 cc ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-12 เดือน ช่วยให้ริมฝีปากดูอิ่ม มีมิติ โดยยังคงความเป็นธรรมชาติ

Filler คาง

ฉีด Filler คาง ช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น และปรับสมดุลใบหน้า โดยใช้ฟิลเลอร์ชนิดเนื้อแข็ง 1-2 cc เพื่อเสริมโครงคางให้ชัดเจนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน ทำให้ใบหน้าดูสมดุล และสวยงามมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมองด้านข้าง

เลือก Filler ยี่ห้อไหนดี

ปัจจุบันมี Filler หลากหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยม ซึ่งการฉีด Filler จะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ดังนี้

Juvederm

Juvederm เป็น Filler ที่ได้รับความนิยมระดับโลก โดดเด่นด้วยเนื้อสารที่มีความนุ่มนวล ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และมีหลากหลายความเข้มข้นให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละบริเวณที่ต้องการฉีด

Restylane

อีกหนึ่งแบรนด์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือมีหลายรุ่น หลายราคา คือ Filler Restylane ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ความงาม ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นในการแก้ไขริ้วรอยลึก และมีความคงทนสูง ทำให้เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการฉีดในบริเวณที่ต้องการ

Belotero

สำหรับผู้ที่มีผิวบาง หรือต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ Filler Belotero อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม ด้วยเนื้อสารที่มีความละเอียดสูง ทำให้เหมาะกับการฉีดในบริเวณที่มีผิวบาง เช่น ใต้ตา หรือร่องแก้ม โดยให้ผลลัพธ์ที่กลมกลืนไปกับผิวได้อย่างเป็นธรรมชาติ

Neuramis

ในด้านความคุ้มค่า Filler Neuramis เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ แม้จะเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างใหม่ในตลาด แต่ก็ได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ มีให้เลือกหลายความเข้มข้น และมีราคาที่คุ้มค่ากว่าแบรนด์ระดับพรีเมียม โดยยังคงให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

Definisse 

Definisse สัญชาติอิตาลี มีจุดเด่นคือ เนื้อมีความละเอียดสูง ทำให้กระจายตัวได้ดี ซึ่งได้ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ และคงอยู่ได้นาน นอกจากนี้ ยังมีหลากหลายรุ่นให้เลือกใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละจุดบนใบหน้า โดยเฉพาะการยกกระชับและปรับโครงสร้างใบหน้า เช่น แก้มส้ม ขมับ กรอบหน้า และคาง เป็นต้น

Teoxane

มีเทคโนโลยี RHA (Resilient Hyaluronic Acid) ที่ทำให้ฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นสูง คล้ายคลึงกับไฮยาลูโรนิก แอซิด ตามธรรมชาติในร่างกาย จึงทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งกระด้าง สามารถเคลื่อนไหวได้ตามการแสดงออกทางสีหน้า 

e.p.t.q.

Filler e.p.t.q. ดีไหม? e.p.t.q. เป็นฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมจากประเทศเกาหลีใต้ จุดเด่นของ e.p.t.q. คือมีความบริสุทธิ์สูง เนื้อสารละเอียด ทำให้ฉีดง่าย กระจายตัวดี และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับการเติมเต็มผิวบริเวณต่างๆ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา และริมฝีปาก เป็นต้น โดยสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน 

ข้อดีและข้อเสียของการฉีด Filler

การฉีด Filler มีข้อดีและข้อเสีย ให้พิจารณาก่อนตัดสินใจด้วยกัน ดังนี้

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์

  • เห็นผลทันที: หลังการฉีดจะเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น ร่องลึกตื้นขึ้น และรูปหน้าดูสมส่วนมากขึ้น
  • ไม่ต้องพักฟื้น: หลังการฉีดสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • ปรับเปลี่ยนได้: ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ หากไม่พอใจสามารถเติมเพิ่มได้ หรือหากต้องการแก้ไขก็สามารถทำได้เช่นกัน
  • ไม่ต้องผ่าตัด: เป็นวิธีการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าการทำศัลยกรรม
  • ฟิลเลอร์สลายตัวเองตามธรรมชาติ: ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่จะสลายตัวเองตามธรรมชาติ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องสารตกค้างในร่างกาย

ข้อเสียการฉีดฟิลเลอร์

  • ไม่ถาวร: ผลลัพธ์จากการฉีดฟิลเลอร์จะไม่คงอยู่ตลอดไป จำเป็นต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ
  • ราคา: Filler จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่ผลลัพธ์คุ้มค่า
  • ขึ้นอยู่กับผู้ทำ: ผลลัพธ์ของการฉีดขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์ผู้ทำ หากเลือกคลินิกหรือแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจทำให้เกิดปัญหาได้

การเตรียมตัวก่อนฉีด Filler

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การฉีด Filler ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดี จึงควรปฏิบัติดังนี้

  • งดการใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • งดการดื่มแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด
  • งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol 1 สัปดาห์
  • ทำความสะอาดหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้ามา
  • ควรแจ้งว่ามีประวัติการแพ้ยาหรือไม่
  • ควรมาพบแพทย์ในขณะที่สุขภาพแข็งแรง

การดูแลตัวเองหลังฉีด Filler

หลังฉีด Filler ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

  • ห้ามนวด หรือกดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 24-48 ชั่วโมง
  • งดการอาบน้ำร้อน ซาวน่า 24 ชั่วโมง
  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ 1 สัปดาห์
  • ใช้เจลประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม
  • ทาครีมกันแดดทุกครั้งที่ออกแดด
  • มาตามนัดเพื่อติดตามผล

ฉีด Filler ปลอดภัยไหม

การฉีด Filler ถือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากสารที่ใช้คือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) เป็นสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ 

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยในการฉีด Filler นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายอย่าง ดังนี้

  • คุณภาพของ Filler ที่ใช้: ต้องเป็น Filler แท้ที่ได้รับการรับรองจาก อย. และนำเข้าจากบริษัทที่น่าเชื่อถือเท่านั้น
  • สถานที่ให้บริการ: ต้องเป็นคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน มีใบอนุญาตถูกต้อง และมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐาน 
  • แพทย์ผู้ฉีดต้องเป็นแพทย์ที่ได้รับการอบรมเฉพาะทาง: มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการฉีด Filler โดยเฉพาะ รวมถึงต้องมีความเข้าใจในกายวิภาคของใบหน้าอย่างลึกซึ้ง

หากฉีดแล้ว จะมีผลข้างเคียงหรือไม่

แม้ว่าการฉีด Filler จะเป็นหัตถการที่ปลอดภัย แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง เช่น รอยช้ำ อาการบวม หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ 

ผู้ที่สนใจฉีด Filler ควรศึกษาข้อมูลให้ดี และที่สำคัญไม่ควรเลือกสถานที่ฉีดเพียงเพราะราคาถูก ควรคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก นอกจากนี้ ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและโรคประจำตัวให้แพทย์ทราบก่อนการฉีดทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังการฉีดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยที่สุด

สรุป

Filler หรือสารเติมเต็ม เป็นหัตถการความงามที่ช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับใบหน้า ลดเลือนริ้วรอย และปรับโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดยสามารถฉีดได้หลายตำแหน่ง เช่น ใต้ตา ร่องแก้ม ริมฝีปาก คาง และขมับ ซึ่งแต่ละตำแหน่งจะใช้ Filler ที่มีความเข้มข้นแตกต่างกันไป 

ซึ่งการฉีด Filler ถือเป็นหัตถการที่ค่อนข้างปลอดภัยเนื่องจากใช้สารที่มีอยู่ตามธรรมชาติในร่างกาย แต่ควรเลือกใช้บริการจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของ Filler และตำแหน่งที่ฉีด โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ และปริมาณที่ใช้