กายภาพบำบัดคืออะไร มีอะไรบ้าง ทำไมต้องทำ มีความจำเป็นอย่างไร?

กายภาพบำบัดคืออะไร มีอะไรบ้าง ทำไมต้องทำ มีความจำเป็นอย่างไร_

การดูแลสุขภาพร่างกายเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการบาดเจ็บหรือมีอาการเจ็บปวดที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ในบทความนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับ “กายภาพบำบัด” ซึ่งเป็นวิธีการรักษาและฟื้นฟูร่างกายที่มีประสิทธิภาพ โดยจะอธิบายว่ากายภาพบำบัดคืออะไร มีวิธีการอะไรบ้าง

กายภาพบำบัด คืออะไร? การฟื้นฟูร่างกายที่คุณต้องรู้

กายภาพบำบัด คือ ศาสตร์ทางการแพทย์ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้กลับมาแข็งแรงและทำงานได้เป็นปกติ โดยใช้วิธีการทางกายภาพ เช่น การออกกำลังกาย การนวด และการใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เพื่อบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และปรับปรุงการเคลื่อนไหวของร่างกาย

กระดูกทับเส้นประสาท ภาวะที่ทำให้ใครหลายคนต้องกายภาพบำบัด

กระดูกทับเส้นประสาทเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย และมักนำผู้ป่วยมาสู่การรักษาด้วยกายภาพบำบัด ซึ่งภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อมีการกดทับของกระดูกสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกต่อเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงในบริเวณที่เส้นประสาทนั้นควบคุม

สาเหตุของกระดูกทับเส้นประสาท

กระดูกทับเส้นประสาท เกิดจากหลายสาเหตุ โดยปัจจัยหลัก ๆ ได้แก่ การเสื่อมของกระดูกสันหลังตามวัย ซึ่งทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อม และอาจเคลื่อนหรือปลิ้นออกมาไปกดทับเส้นประสาทได้

นอกจากนี้ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ เช่น การยกของหนักผิดท่า หรืออุบัติเหตุทางรถยนต์ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกระดูกทับเส้นประสาทได้เช่นกัน ในบางรายอาจเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิดของกระดูกสันหลัง หรือเนื้องอกที่ไปกดทับเส้นประสาท

อาการของกระดูกทับเส้นประสาท

  • ปวดร้าวลงขาหรือแขน
  • ชาหรือรู้สึกเสียวซ่าตามแนวเส้นประสาท
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • การสูญเสียการควบคุมลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะ (ในกรณีรุนแรง)

การกายภาพบำบัด มีอะไรบ้าง

การรักษาทางกายภาพบำบัดมีหลากหลายวิธี ซึ่งจะถูกเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับอาการ และสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย มาดูวิธีการรักษาที่พบบ่อยในการทำกายภาพบำบัดว่ามีอะไรบ้าง

  • การออกกำลังกายเพื่อการบำบัด: เป็นการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายเฉพาะบุคคล เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น และปรับปรุงการทำงานของข้อต่อ
  • การนวดบำบัด: ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และลดอาการปวด
  • การใช้ความร้อนและความเย็นบำบัด: การประคบร้อนช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและคลายกล้ามเนื้อ ในขณะที่การประคบเย็นช่วยลดอาการบวมและอักเสบ
  • การใช้กระแสไฟฟ้าบำบัด (TENS): เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าความถี่ต่ำ เพื่อกระตุ้นเส้นประสาทและช่วยบรรเทาอาการปวด
  • การฝังเข็ม: แม้จะเป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีน แต่ก็ถูกนำมาใช้ร่วมกับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการปวดและเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำหัตถการโดยแพทย์เวชศาสตร์
  • การใช้คลื่นอัลตราซาวนด์: ช่วยลดอาการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
  • การใช้เครื่องดึงหลัง: ช่วยลดแรงกดทับบนกระดูกสันหลังและเส้นประสาท เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังหรือกระดูกทับเส้นประสาท
  • การฝึกการทรงตัวและการเคลื่อนไหว: ช่วยปรับปรุงการทำงานประสานกันของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ลดความเสี่ยงในการหกล้มโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ

ทำไมต้องทำกายภาพบำบัด

การทำกายภาพบำบัดมีความสำคัญและจำเป็นด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้

  • บรรเทาอาการปวด: กายภาพบำบัดช่วยลดอาการปวดจากการบาดเจ็บหรือโรคต่าง  ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพายาแก้ปวดมากเกินไป
  • ฟื้นฟูการเคลื่อนไหว: สำหรับผู้ที่ประสบอุบัติเหตุหรือผ่าตัด กายภาพบำบัดช่วยให้กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างปกติเร็วขึ้น
  • ป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ: การเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บซ้ำ
  • ชะลอการเสื่อมของข้อต่อ: สำหรับผู้ที่มีโรคข้อเสื่อม กายภาพบำบัดช่วยชะลอการเสื่อมและรักษาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ
  • เพิ่มสมรรถภาพทางกาย: ไม่เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บ กายภาพบำบัดยังช่วยพัฒนาสมรรถภาพร่างกายโดยรวม
  • ลดความจำเป็นในการผ่าตัด: ในบางกรณี การทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่องอาจช่วยหลีกเลี่ยงการผ่าตัดได้
  • ปรับปรุงคุณภาพชีวิต: การลดอาการปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ใครบ้างที่ควรเข้ารับการรักษา

กายภาพบำบัดไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับบุคคลหลากหลายกลุ่ม ได้แก่

  • ผู้ที่มีอาการปวด ชา หรืออ่อนแรงในบริเวณที่เส้นประสาท จากภาวะกระดูกทับเส้นประสาท
  • ผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ หรือปวดข้อ เป็นต้น
  • ผู้ที่กำลังฟื้นตัวจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด
  • ผู้ป่วยโรคทางระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
  • นักกีฬาที่ต้องการป้องกันการบาดเจ็บหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นกีฬา
  • ผู้สูงอายุที่ต้องการรักษาความแข็งแรงและความคล่องตัว
  • ผู้ที่มีปัญหาด้านการทรงตัวหรือมีความเสี่ยงในการหกล้ม
  • ผู้ที่มีอาการปวดจากการทำงาน เช่น อาการปวดจากการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน

7 ประโยชน์ของการกายภาพบำบัด

ความจำเป็นของกายภาพบำบัดแตกต่างกันไปตามสภาพร่างกายและความต้องการของแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว กายภาพบำบัดมีความจำเป็นในกรณีต่อไปนี้

1. ฟื้นฟูหลังการบาดเจ็บหรือผ่าตัด

สำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหรือผ่านการผ่าตัด เช่น กายภาพบําบัดหลังผ่าตัดข้อเข่า กายภาพบำบัด มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูการทำงานของร่างกายให้กลับสู่สภาพปกติ โดยช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อที่ได้รับผลกระทบกลับมาแข็งแรง และเคลื่อนไหวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. จัดการอาการปวดเรื้อรัง

สำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดคอ หรือ กระดูกทับเส้นประสาท กายภาพบำบัดเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการโดยไม่ต้องพึ่งพายาแก้ปวดมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงในระยะยาว

3. รักษาโรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่น โรคข้อเสื่อม กระดูกพรุน หรือ กายภาพบำบัดเส้นเอ็นอักเสบ สามารถได้รับประโยชน์จากการทำกายภาพบำบัดเพื่อบรรเทาอาการและชะลอการเสื่อมของร่างกาย

4. ฟื้นฟูหลังโรคหลอดเลือดสมอง

ผู้ป่วยที่ผ่านภาวะโรคหลอดเลือดสมองมักมีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวและการทรงตัว กายภาพบำบัดช่วยฝึกฝนการเคลื่อนไหวใหม่และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง

5. ป้องกันการบาดเจ็บในนักกีฬา

กายภาพบําบัดนักกีฬา มีความสำคัญทั้งในแง่ของการป้องกันการบาดเจ็บและการฟื้นฟูหลังการแข่งขัน นักกายภาพบำบัดสามารถออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมที่ช่วยลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บและเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นกีฬา

6. ดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ

ผู้สูงอายุมักเผชิญกับปัญหาด้านการเคลื่อนไหว และความเสี่ยงในการหกล้ม กายภาพบำบัดช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ปรับปรุงการทรงตัว และเพิ่มความยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างอิสระและปลอดภัยมากขึ้น

7. จัดการโรคเรื้อรัง

ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหัวใจ สามารถได้รับประโยชน์จากการทำกายภาพบำบัดในการจัดการอาการและปรับปรุงคุณภาพชีวิต โดยการออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมและปลอดภัย

5 ขั้นตอนการรักษาด้วยกายภาพบำบัด

การรักษาด้วยกายภาพบำบัดมีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้

  1. การประเมินเบื้องต้น: นักกายภาพบำบัดจะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด
  2. การวางแผนการรักษา: จากผลการประเมิน นักกายภาพบำบัดจะวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและเป้าหมายของผู้ป่วย
  3. การรักษา: ใช้เทคนิคและวิธีการต่าง  ๆ ตามที่ได้วางแผนไว้ เช่น การออกกำลังกาย การนวด หรือการใช้เครื่องมือเฉพาะทาง เป็นต้น
  4. การให้คำแนะนำ: นักกายภาพบำบัดจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวที่บ้าน รวมถึงท่าทางการทำงานที่ถูกต้องเพื่อป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
  5. การติดตามผล: มีการนัดหมายเพื่อติดตามผลการรักษาและปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม

ข้อดีของการรักษาที่คุณอาจไม่เคยรู้

นอกจากประโยชน์หลักในการบรรเทาอาการปวด และฟื้นฟูการเคลื่อนไหว กายภาพบำบัดยังมีข้อดีอื่น  ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่

  • ช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับ: การลดอาการปวดและความตึงเครียดของกล้ามเนื้อช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
  • เพิ่มความมั่นใจในตนเอง: การฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหวช่วยเพิ่มความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่าง ๆ
  • ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า: การออกกำลังกาย และการนวดช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งช่วยลดความเครียด และปรับปรุงอารมณ์ได้
  • ปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกัน: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก: โปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมช่วยในการเผาผลาญพลังงานและควบคุมน้ำหนัก

ข้อควรระวังในการทำกายภาพบำบัด

แม้ว่ากายภาพบำบัดจะเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย แต่ก็มีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้

  • ควรทำกายภาพบำบัดภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดที่มีใบอนุญาตเท่านั้น
  • แจ้งประวัติการเจ็บป่วยและการแพ้ยาให้นักกายภาพบำบัดทราบอย่างละเอียด
  • หากรู้สึกเจ็บปวดผิดปกติระหว่างการรักษา ควรแจ้งนักกายภาพบำบัดทันที
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำในการทำกายภาพบำบัดที่บ้านอย่างเคร่งครัด
  • ไม่ควรหยุดการรักษากลางคันโดยไม่ปรึกษานักกายภาพบำบัด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม

สรุป

กายภาพบำบัดเป็นศาสตร์ทางการแพทย์ที่มีความสำคัญในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย บรรเทาอาการปวด และป้องกันการบาดเจ็บ ด้วยวิธีการที่หลากหลายและปลอดภัย กายภาพบำบัดจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพร่างกายทั้งในแง่ของการรักษาและการป้องกัน

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มีภาวะกระดูกทับเส้นประสาท เป็นนักกีฬา หรือเพียงแค่ต้องการปรับปรุงสุขภาพร่างกายโดยรวม การปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น