เบื่อกับไขมันส่วนเกินที่ลดเท่าไหร่ก็ไม่หาย? อยากมีรูปร่างเพรียวบาง กระชับสัดส่วน แต่ไม่อยากเจ็บตัวกับการผ่าตัด? CoolSculpting อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังตามหา! เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่ช่วยสลายไขมันด้วยความเย็นโดยไม่ต้องผ่าตัด ลดไขมันเฉพาะจุดได้อย่างตรงเป้าหมาย ช่วยให้คุณได้รูปร่างที่สวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ
CoolSculpting คืออะไร? มีกระบวนการทำงานอย่างไร?
CoolSculpting คือนวัตกรรมสลายไขมันด้วยความเย็นที่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินได้อย่างตรงจุดและปลอดภัย เป็นการยกระดับการดูแลรูปร่างด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานอเมริกาที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจากงานวิจัยกว่า 120 ฉบับ มั่นใจในผลลัพธ์ที่ลดไขมันได้มากถึง 31% ตั้งแต่ครั้งแรก
ซึ่งกระบวนการทำงานเริ่มจากการใช้หัวเครื่องมือดูดผิวหนังและชั้นไขมันใต้ผิวหนังขึ้นมา จากนั้นจะปล่อยความเย็นที่ -11 องศาเซลเซียสเพื่อแช่แข็งเซลล์ไขมันเป็นเวลา 35 นาทีต่อจุด โดยจะส่งผลเฉพาะกับเซลล์ไขมันเท่านั้น หลังจากครบเวลา เครื่องจะทำการนวดเพื่อทำลายเซลล์ไขมันที่ถูกแช่แข็ง ส่งผลให้จำนวนเซลล์ไขมันลดลงอย่างถาวร และร่างกายจะกำจัดเซลล์ไขมันที่ตายแล้วออกไปตามกระบวนการทางธรรมชาติ
Coolsculpting elite แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างไร
- ระบบใหม่ 2 หัว สลายไขมันได้ตรงจุดอย่างแม่นยำ
- มีเทคโนโลยี Cool Control ทำความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปกป้องผิวจากการบาดเจ็บจากความเย็นด้วยระบบ Freeze Detect
- มีหัว Applicator รุ่นใหม่ 7 แบบ ครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการรักษามากถึง 9 บริเวณ (เข่า ขา เหนียง แขน เอว ใต้ก้นและส่วนท้อง)
- มีคอนทัวร์ 3 มิติ รูปตัว C โค้งเว้ารับสัดส่วน แนบสนิทกับผิวมากขึ้น 19%
CoolSculpting เหมาะกับใคร
- ผู้ที่ต้องการปรับรูปร่างโดยไม่ต้องผ่านการผ่าตัดหรือดูดไขมัน
- ผู้ที่ต้องการลดไขมันเฉพาะจุด
- ผู้ที่พยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักแต่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
- ผู้ที่กลัวการผ่าตัดหรือการฉีด เนื่องจากเป็นการสลายไขมันแบบถาวรด้วยเทคโนโลยีที่ไม่ต้องใช้เข็มหรือการผ่าตัดใด ๆ
CoolSculpting กำจัดไขมันส่วนไหนได้บ้าง
CoolSculpting เป็นนวัตกรรมการกำจัดไขมันที่สามารถใช้ได้กับหลายส่วนของร่างกาย ซึ่งถ้าเป็นรุ่น CoolSculpting Elite จะใช้หัวยิงพลังงานที่เรียกว่า “แอปพลิเคเตอร์” (Applicator) ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับแต่ละบริเวณ โดยตำแหน่งที่สามารถทำ CoolSculpting ได้มีดังนี้
- บริเวณใบหน้าและลำคอ: ใต้คางและแก้ม
- บริเวณลำตัวส่วนบน: เนินอก ราวนม ต้นแขน หน้าท้องส่วนบน และหน้าท้องส่วนล่าง
- บริเวณหลังและเอว: ปีกหลังส่วนบน ปีกหลังส่วนล่าง รอบเอว และบั้นเอว
- บริเวณขาและสะโพก: CoolSculpting เหมาะกับต้นขาด้านใน ต้นขาด้านนอก หัวเข่า และแก้มก้น
ทั้งนี้ การเลือกใช้แอปพลิเคเตอร์ต้องผ่านการประเมินจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้เหมาะสมกับสัดส่วนและความต้องการของผู้รับการรักษาแต่ละราย
เลือกทำ CoolSculpting อย่างไรให้ปลอดภัย เลือกที่ไหนดี
CoolSculpting ที่ไหนดี? การเลือกทำ CoolSculpting อย่างปลอดภัยมีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงในการทำหัตถการนี้
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน: ควรเลือกคลินิกที่มีใบอนุญาตถูกต้องและเปิดให้บริการอย่างถูกกฎหมาย
- มีการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ: ควรมีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการอบรมเฉพาะด้านในการทำ CoolSculpting เพื่อประเมินและดูแลการรักษาอย่างเหมาะสม อย่าง Zeniq Holistic ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าเชื่อถือ ด้วยมาตรฐานการรักษาระดับสากล
- ตรวจสอบประวัติและรีวิว: ควรดูรีวิว CoolSculpting จากผู้ใช้บริการจริง เพื่อประเมินผลลัพธ์และความพึงพอใจของลูกค้า
- ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม: ราคา CoolSculpting ควรอยู่ในเกณฑ์ที่สมเหตุสมผล ไม่ถูกหรือแพงเกินไป เนื่องจากราคาที่ต่ำเกินไปอาจเสี่ยงต่อการใช้เครื่องปลอม
การเตรียมตัวก่อนทำ
การเตรียมตัวก่อนทำ CoolSculpting เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ปรึกษาแพทย์: ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการประเมินสัดส่วนร่างกายและวิเคราะห์ปัญหาที่ต้องการแก้ไข เพื่อให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
- แจ้งข้อมูลสุขภาพ: แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่ทาน และประวัติการแพ้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในระหว่างการทำหัตถการ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำช่วยให้ร่างกายสามารถขับของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลลัพธ์หลังการทำ CoolSculpting
- ใช้ชีวิตตามปกติ: คุณสามารถรับประทานอาหารและทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องอดอาหารหรือหยุดออกกำลังกายก่อนเข้ารับบริการ
ขั้นตอนการทำ CoolSculpting
- การประเมินเบื้องต้น: แพทย์จะตรวจประเมินร่างกายเพื่อเลือกหัวเครื่องที่เหมาะสม พร้อมวางแผนการรักษาและนัดหมายวันทำหัตถการ
- การเตรียมตัวในวันทำหัตถการ: ชั่งน้ำหนักและวัดสัดส่วนเพื่อบันทึกผล จากนั้นให้เปลี่ยนชุดสำหรับทำหัตถการ พร้อมกับถ่ายภาพสัดส่วนก่อนทำ
- การเตรียมพื้นที่รักษา: ทำเครื่องหมายบริเวณที่จะติดตั้งอุปกรณ์ และทำความสะอาดผิวหนังบริเวณที่จะรักษา หลังจากนั้นแพทย์จะติดตั้งแอปพลิเคเตอร์ตามตำแหน่งที่กำหนด
- ขั้นตอนการรักษา: ใช้เวลาประมาณ 25-60 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ในระหว่างรักษาอาจรู้สึกเย็น ตึง และเจ็บเล็กน้อย
- การติดตามผล: ถ่ายภาพสัดส่วนหลังทำหัตถการ พร้อมรับคำแนะนำการปฏิบัติตัวหลังการรักษา และสามารถกลับบ้านได้ทันที
การดูแลตัวเองหลังทำ
การดูแลตัวเองหลังทำ CoolSculpting เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้ชัดเจนและยั่งยืนมากขึ้น ดังนี้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ควรฟังคำแนะนำจากแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้การฟื้นฟูเป็นไปอย่างราบรื่น
- ควบคุมอาหาร: ควรงดอาหารที่มีไขมันสูงและควบคุมปริมาณแคลอรี เพื่อไม่ให้เซลล์ไขมันที่เหลือขยายตัวและแบ่งตัวเพิ่มขึ้น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและรักษาน้ำหนักให้คงที่ ซึ่งจะช่วยให้ผลลัพธ์จาก CoolSculpting ยั่งยืน
- ดูแลบริเวณที่ทำการรักษา: อาจมีอาการช้ำหรือรอยแดงที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์
- สังเกตอาการ: หากมีอาการผิดปกติหรือไม่สบาย ควรติดต่อแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม
ทำกี่ครั้งถึงจะได้ผลดี
ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ส่วนมากแล้วจะทำประมาณ 1-2 ครั้งต่อบริเวณ โดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 3 สัปดาห์ และชัดเจนที่ 1-3 เดือน ซึ่งเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายจะไม่กลับมา แต่ควรควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ข้อดีของการทำ CoolSculpting
CoolSculpting เป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่กำจัดไขมันด้วยความเย็น โดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่ออกแบบมาเพื่อดูดจับผิวหนังและส่งผ่านความเย็นเข้าสู่ชั้นไขมันโดยตรง วิธีการนี้มีจุดเด่นที่สำคัญ ดังนี้
- ปลอดภัยต่อผิวหนังชั้นนอก ไม่ทำให้เกิดแผลไหม้หรือความร้อน
- มีระบบ Freeze Detect ที่คอยตรวจจับและควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ หากความเย็นมากเกินไป เครื่องจะหยุดทำงานทันที
- ไม่ต้องผ่าตัด เพียงนอนพักผ่อนระหว่างที่เครื่องทำงาน
ข้อจำกัดของการทำ CoolSculpting
แม้ว่า CoolSculpting จะเป็นวิธีสลายไขมันที่ปลอดภัยและไม่ต้องผ่าตัด เหมาะสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ไม่เหมาะจะทำหัตถการดังนี้
- ผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 30 สามารถทำได้ แต่อาจต้องทำหลายครั้งกว่าจะเห็นผลชัดเจน เมื่อเทียบกับผู้ที่มีค่า BMI ต่ำกว่า
- ผู้ที่มีภาวะแพ้ความเย็นหรือมีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดเมื่อสัมผัสความเย็น รวมถึงผู้ที่กำลังทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ไม่ควรรับการรักษาด้วยวิธีนี้
- สตรีมีครรภ์และสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตรไม่ควรทำ CoolSculpting และสำหรับสตรีที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน ควรหลีกเลี่ยงการทำเนื่องจากอาจทำให้อาการปวดประจำเดือนรุนแรงขึ้น
- ผู้ที่มีบาดแผลที่กำลังรักษาหรือเพิ่งผ่าตัดในบริเวณที่ต้องการทำภายใน 6 เดือน ควรรอให้แผลหายสมบูรณ์ก่อน และผู้ที่ใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจหรือมีภาวะไส้เลื่อนก็ไม่เหมาะสมกับการทำหัตถการนี้เช่นกัน
ด้วยข้อจำกัดที่กล่าวมาข้างต้น จึงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนเข้ารับการรักษาทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
CoolSculpting มีผลข้างเคียงหรือไม่
CoolSculpting เป็นนวัตกรรมการสลายไขมันด้วยความเย็นที่ได้รับการยอมรับว่ามีความปลอดภัยสูง โดยใช้เทคโนโลยีพิเศษในการดูดและจับไขมันเฉพาะจุด เพื่อทำการสลายด้วยความเย็น ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ที่มีความชำนาญ และมีการเลือกใช้หัวเครื่องที่เหมาะสมกับสัดส่วนของผู้รับการรักษา จะไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือเป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม CoolSculpting อาจมีผลข้างเคียงหลังการรักษา ดังนี้
- อาการที่ผิวหนัง: บวมแดง รอยช้ำ และผิวซีดเป็นบางช่วง บางครั้งอาจจะมีก้อนแข็งใต้ผิวหนัง และอาการคันบริเวณที่ทำ
- ความรู้สึกไม่สบาย: เจ็บเมื่อกดบริเวณที่ทำ และเป็นตะคริว อาจจะรู้สึกเสียวคล้ายตอนที่มีหัวเครื่องติดอยู่
อาการเหล่านี้เป็นเพียงผลข้างเคียงชั่วคราวที่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ และไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
เครื่อง CoolSculpting ราคาถูก ปลอดภัยหรือไม่
การเลือกใช้เครื่อง CoolSculpting หรือ CoolSculpting Elite ราคาถูกที่ไม่ได้คุณภาพ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น
- อาจจะมีอาการแสบร้อนระหว่างการทำได้
- ความเจ็บปวดจากความเย็นที่มากเกินไป
- ได้ผลลัพธ์การรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น การเลือกคลินิกหรือสถานพยาบาลทำ CoolSculpting ควรเช็กรีวิว และตรวจสอบข้อมูลให้ถี่ถ้วน ไม่ควรเลือกเพราะราคาถูก หรือมีโปรโมชันที่น่าดึงดูด เพราะผลเสียที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิด
สรุป
CoolSculpting เป็นนวัตกรรมกำจัดไขมันแบบไม่ต้องผ่าตัดที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยประสิทธิภาพการรักษาสูงถึง 96.6% และความปลอดภัยที่ผ่านการพิสูจน์ จากงานวิจัยพบว่าหลังการรักษา 90 วัน ความหนาของชั้นไขมันลดลงถึง 50% โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง เนื้อเยื่อ และเส้นประสาทบริเวณรอบข้าง เพราะมีระบบตรวจจับความเย็น (Freeze Detect) ที่ป้องกันการเกิดแผลไหม้ ผู้เข้ารับการรักษาจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรก และสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้นานกว่า 3 ปี
ทั้งนี้ผู้เข้ารับการรักษาควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ควบคุมอาหารโดยหลีกเลี่ยงของทอด อาหารไขมันสูง และของหวาน นอกจากนี้ การเลือกใช้บริการจากคลินิกที่ได้มาตรฐานและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด