ปวดเข่าจนเดินไม่ไหว เป็นอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมที่พบได้บ่อย บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคข้อเข่าเสื่อมอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงวิธีดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคนี้ เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ข้อเข่าเสื่อมคืออะไร
โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือภาวะที่กระดูกอ่อนภายในข้อเข่าค่อย ๆ สึกกร่อนและเสียหายไป ทำให้ปวดเมื่อมีการเคลื่อนไหว เช่น การเดิน วิ่ง นั่งหรือยืนนาน ๆ กระดูกจะเสียดสีกันจนเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวด บวม และข้อเข่าเคลื่อนไหวติดขัด ข้อเข่าอาจจะติดแข็งเมื่อเริ่มขยับ และอาจมีเสียงดังกรอบแกรบขณะขยับข้อเข่า นอกจากนี้ โรคข้อเข่าเสื่อมยังอาจทำให้ข้อเข่าผิดรูปได้ในระยะยาว
โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากอะไร
โรคข้อเข่าเสื่อมเกิดจากการสึกหรอของกระดูกอ่อนในข้อเข่า ทำให้เกิดอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวลำบาก ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อมนั้นมีหลากหลาย ดังนี้
- เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกอ่อนจะเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน
- น้ำหนักตัวที่มากเกินไปข้อเข่าจะรับน้ำหนักมาก ทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอเร็วขึ้น
- การยืนหรือนั่งนาน ๆ หรือการทำกิจกรรมที่มีแรงกดที่ข้อเข่าบ่อย ๆ จะเร่งให้เกิดการเสื่อมสภาพของข้อเข่า
- ความผิดปกติของโครงสร้างข้อ
- การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ เช่น เข่าบิด เข่าเคลื่อน หรือกระดูกหัก อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและนำไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อมได้
- โรคข้ออักเสบต่าง ๆ เช่น รูมาตอยด์ โรคเกาต์ และการติดเชื้อในข้อเข่า ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้
สัญญาณเตือนของข้อเข่าเสื่อม
1. เริ่มปวดเข่าเป็นครั้งคราว
หลายคนมักพบเจออาการปวดเข่าเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้น อาการปวดมักจะรุนแรงขึ้นเมื่อต้องใช้งานเข่า เช่น เดินขึ้นลงบันได ยืนนาน หรือทำกิจกรรมที่ต้องงอเข่าบ่อย ๆ ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในโรคข้อเข่าเสื่อม
2. มีเสียงกรอบแกรบ
หากคุณได้ยินเสียงกรอบแกรบเวลาขยับเข่า อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าข้อเข่าของคุณกำลังมีปัญหา ซึ่งเสียงดังกล่าวเกิดจากการเสียดสีกันของส่วนประกอบภายในข้อเข่า เช่น กระดูกอ่อน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคข้อเข่าเสื่อมได้ หากมีอาการปวดร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง การรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยชะลอความเสื่อมของข้อเข่าและบรรเทาอาการปวดได้ ดังนั้น อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจกับเสียงกรอบแกรบในข้อเข่า เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาของข้อเข่าที่ร้ายแรงกว่าที่คิด
3. ข้อเข่าติดขัด
“ข้อเข่าติด ฝืดตึง หรือแข็ง” เป็นอาการที่บ่งบอกว่า ข้อเข่าขยับได้ไม่สะดวก ทำให้การเคลื่อนไหวลำบาก ผู้ป่วยมักรู้สึกชัดเจนตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังนั่งอยู่นิ่ง ๆ เป็นเวลานาน และเมื่อพยายามขยับเข่าหรือยืน เดิน ก็จะรู้สึกติด ฝืดตึง เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเหมือนเดิม
4. อาการเสียวบริเวณข้อเข่า
ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมักมีอาการเสียวที่บริเวณหัวเข่าขณะเคลื่อนไหว ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างภายในข้อเข่า กระดูกและกระดูกอ่อนเกิดการเสียดสีกันจนทำให้เกิดการระคายเคืองและส่งผลให้มีอาการเสียว
5. อาการบวม แดง ร้อน และมีจุดกดเจ็บ
นอกจากอาการเสียวที่บริเวณข้อเข่า ผู้ป่วยอาจมีอาการบวม แดง ร้อน และมีจุดกดเจ็บที่บริเวณข้อเข่า ซึ่งอาการนี้เกิดจากการสะสมของน้ำในข้อเข่าลดลงและการเกิด Osteophyte (กระดูกงอก) รอบข้อเข่า นอกจากนี้ การอักเสบทำให้เกิดความร้อนและมีความเจ็บปวดเมื่อกดที่บริเวณนั้น ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจสังเกตเห็นการบวมของข้อเข่า
6. ข้อเข่าผิดรูปและเสียรูปทรง
ในระยะที่โรครุนแรง ข้อเข่าจะผิดรูปไปจากเดิม เช่น โก่งงอ ทำให้การเดินและการเคลื่อนไหวลำบากขึ้น ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยอาจสูญเสียความสามารถในการทำกิจกรรมที่เคยชอบ หรือแม้แต่การดูแลตนเองก็ยากลำบากขึ้น
ใครที่มีความเสี่ยงเป็นข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนเหล่านี้
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากกระดูกอ่อนที่ข้อเข่าเสื่อมตามอายุ
- ผู้หญิง มีแนวโน้มเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย
- คนอ้วน น้ำหนักตัวที่มากเกินจะเพิ่มแรงกระทำต่อข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
- คนใช้งานเข่าหนัก เช่น คนที่ต้องนั่งยอง ๆ เป็นประจำ หรือเล่นกีฬาที่ลงน้ำหนักบริเวณเข่าบ่อยๆ
- คนที่เคยได้รับอุบัติเหตุที่บริเวณข้อเข่า การบาดเจ็บที่เข่าในอดีตอาจทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
- ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ โรคข้ออักเสบบางชนิด เช่น รูมาตอยด์ หรือเกาต์ อาจทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมได้
ระยะอาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
- ระยะเริ่มต้น ในระยะเริ่มต้น ข้อเข่าจะเริ่มเสื่อมสภาพเล็กน้อย ทำให้คุณรู้สึกตึง ๆ แข็ง ๆ รอบข้อเข่า หรือรู้สึกไม่คล่องตัวเวลาขยับเข่า โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน อาจมีอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย
- ระยะที่ 2 คุณจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น โดยเฉพาะเวลาขยับเข่า หรือมีเสียงดังก๊อกแก๊กในข้อเข่า อาการปวดอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เช่น ลุกขึ้นยืน ยืนนาน ๆ หรือเดินขึ้นลงบันได
- ระยะที่ 3 ในระยะนี้ อาการปวดจะรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเคลื่อนไหวข้อเข่า เช่น เดิน วิ่ง หรือขึ้นลงบันได นอกจากนี้ ข้อเข่าอาจบวมและอักเสบ ทำให้รู้สึกเจ็บและอ่อนแรงเมื่อเคลื่อนไหว ซึ่งจะส่งผลให้กิจวัตรประจำวันทำได้ยากขึ้น และคุณอาจรู้สึกเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น
- ระยะที่ 4 เมื่อโรคเข้าสู่ระยะรุนแรง กระดูกอ่อนที่บริเวณข้อเข่าจะสึกหรอจนเกือบหมด ทำให้กระดูกเสียดสีกันโดยตรง เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง แม้ขณะพักผ่อน ข้อเข่าอาจผิดรูปและบวม ทำให้การเคลื่อนไหวลำบากมากขึ้น และอาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยในการเดิน
อาการปวดเข่าแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์
อาการปวดเข่าเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์เสมอไป แต่หากมีอาการปวดเข่าในลักษณะดังต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง
- ปวดเข่ารุนแรง แม้ไม่ได้เคลื่อนไหว หากคุณรู้สึกปวดเข่าอย่างรุนแรง แม้ไม่ได้ทำกิจกรรมใด ๆ หรือขณะพักผ่อนอยู่ ก็เป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม อาจบ่งบอกถึงปัญหาข้อเข่าที่ร้ายแรง เช่น การอักเสบของข้อเข่า หรือการบาดเจ็บที่รุนแรงขึ้น
- ปวดเข่าและมีอาการบวม ช้ำ เมื่อข้อเข่าของคุณบวม แดง ร้อน และมีอาการปวดร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในข้อเข่า หรือภาวะอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่าการเสื่อมของข้อเข่าทั่วไป
- ปวดร้าว งอเข่าได้ไม่สุด หากคุณรู้สึกปวดที่เข่า รวมถึงงอเข่าได้ไม่สุด อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บที่เส้นเอ็น หรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อเข่า ซึ่งอาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
แนวทางการรักษาทางการแพทย์
รักษาข้อเข่าเสื่อมแบบผ่าตัด
การผ่าตัดข้อเข่าจะช่วยแก้ไขสาเหตุของอาการปวดที่เกิดจากข้อเข่าเสื่อม ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งข้อเข่าเทียมที่ถูกใส่เข้าไปจะช่วยให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถเดิน วิ่ง หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยเทคนิคการผ่าตัดข้อเข่า มีดังนี้
- การผ่าตัดยึดข้อให้ติดกัน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีข้อเข่าเสื่อมรุนแรงและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โดยการผ่าตัดจะช่วยลดการเคลื่อนไหวของข้อเข่า ทำให้ลดอาการปวดได้
- การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า เป็นการผ่าตัดที่นิยมมากที่สุด โดยการแทนที่ส่วนของข้อเข่าที่เสื่อมด้วยข้อเข่าเทียม ทำให้ข้อเข่าสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ
- การผ่าตัดตัดกระดูกเพื่อปรับแนว ใช้สำหรับแก้ไขปัญหาข้อเข่าที่ผิดรูป โดยการตัดกระดูกส่วนเกินออกเพื่อปรับแนวของข้อเข่าให้ถูกต้อง
PRP รักษาข้อเข่าเสื่อมแบบไม่ผ่าตัด
PRP คือ การนำเลือดของคุณเองมาปั่นแยกเพื่อสกัดเอาส่วนที่เรียกว่า “เกล็ดเลือดเข้มข้น” ซึ่งมีสารอาหารสำคัญที่เรียกว่า “Growth factors” ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอหรือบาดเจ็บ ซึ่ง การฉีด PRP ข้อเข่า จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ลดอาการปวด และกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเอง จึงมีความเสี่ยงน้อยมาก
วิธีดูแลผู้สูงอายุที่ข้อเข่าเสื่อม
การดูแลผู้สูงอายุที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาอาการปวดและชะลอความเสื่อมของข้อเข่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ควบคุมน้ำหนัก เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินไปเป็นตัวที่เร่งให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น ซึ่งการลดน้ำหนักจะช่วยลดแรงกระทำที่ข้อเข่าได้
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งยอง ๆ หรือกิจกรรมที่มีแรงกระทำบริเวณข้อเข่าเป็นประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
- การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อรอบเข่าให้แข็งแรง จะช่วยลดแรงกระทำของข้อเข่า ทำให้ข้อเข่าแข็งแรงและมั่นคงมากขึ้น
- เลือกกิจกรรมที่เหมาะสม เช่น การเดินเบา ๆ ว่ายน้ำ หรือโยคะ เป็นตัวเลือกที่ดีในการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม
- การใช้ไม้เท้าหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงอื่น ๆ จะช่วยลดแรงกระทำและพยุงข้อเข่า ทำให้เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ วิตามิน และโปรตีน ที่ช่วยบำรุงกระดูกและข้อต่อให้แข็งแรง
- พักผ่อนอย่างเพียงพอจะช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
สรุป
หากคุณเริ่มรู้สึกผิดปกติที่ข้อเข่า ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับคำแนะนำในการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดความรุนแรงของโรค ลดความเจ็บปวด และช่วยให้คุณหรือคนที่คุณรักกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ