ก้าวข้ามขีดจำกัดของนวัตกรรมเพื่อความงามด้วย PRP เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลผิวอย่างจริงจัง ช่วยให้ผิวกลับมาแข็งแรงและแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย รอยหมองคล้ำ หรือผิวขาดน้ำ เผยผิวใหม่ที่เปล่งปลั่ง ออร่ากระจ่างใส ด้วยพลังของเกล็ดเลือดที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณ แล้ว PRP หน้าใส คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยม? มาไขความลับของการฟื้นฟูผิวด้วยเลือดของคุณเอง พร้อมอธิบายขั้นตอนการทำที่ง่ายและปลอดภัย
PRP หน้าใส คืออะไร?
PRP หน้าใส คือ Platelet Rich Plasma หรือ พลาสมาเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีฟื้นฟูผิวหน้าจากภายในด้วยเลือดของตัวเอง โดยจะนำเลือดมาปั่นแยกเพื่อสกัดเอาส่วนประกอบที่เรียกว่า “พลาสมา” ซึ่งภายในพลาสมานี้จะอุดมไปด้วยเกล็ดเลือดและ Growth Factor ที่มีคุณสมบัติในการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว
เมื่อนำพลาสมาที่เข้มข้นด้วยเกล็ดเลือดนี้มาฉีดกลับเข้าสู่ผิวหน้า Growth Factor จะทำหน้าที่กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ช่วยให้ผิวหนังที่เสื่อมสภาพจากอายุที่มากขึ้น หรือความเสียหายจากมลภาวะได้รับการฟื้นฟูอย่างล้ำลึก ทำให้ผิวจะดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยลดลง หลุมสิวตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนขึ้น และสีผิวสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
PRP หน้าใสดีไหม ต่างจากการทำฉีดฟิลเลอร์อย่างไร
การทำ PRP หน้าใสจะพิเศษตรงที่ใช้เลือดของตัวเองในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและไฮยาลูรอนิก ซึ่งเป็นเหมือนการฟื้นฟูผิวจากภายในที่จะสร้างผิวใหม่ที่แข็งแรงและอิ่มน้ำ โดยผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นการปรับสภาพผิวโดยรวมให้ดูเรียบเนียน รูขุมขนกระชับ และอ่อนเยาว์ลงอย่างเป็นธรรมชาติ ต่างจากการฉีดฟิลเลอร์ที่เน้นการเติมเต็มเฉพาะจุดเท่านั้น นอกจากนี้ PRP ยังสามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามที่ต้องการ
PRP หน้าใส VS. Rejuran VS. Exosome VS. มาเด้คอลลาเจน เลือกฉีดตัวไหนดี
ตัวเลือก | หลักการทำงาน | จุดเด่น | เหมาะสำหรับปัญหา |
PRP | ใช้พลาสมาจากเลือดตัวเอง | กระตุ้นคอลลาเจนและฟื้นฟูผิวธรรมชาติ | ริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย |
Rejuran | ใช้ PN จากปลาแซลมอน | ลดริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้น | หน้าโทรม ผิวไม่สดใส |
Exosome | ใช้สารชีวโมเลกุลจากเซลล์ต้นกำเนิด | ลดริ้วรอยและจุดด่างดำ | ปัญหาผิวหลายด้าน |
มาเด้คอลลาเจน | ใช้สารอาหารและคอลลาเจน | หน้าอิ่มน้ำ ผิวกระชับเร็ว | ผิวที่ต้องการความชุ่มชื้น |
PRP หน้าใสช่วยแก้ปัญหาผิวได้อย่างไร
- ฟื้นฟูผิวอ่อนเยาว์: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวกลับมามีความยืดหยุ่น เต่งตึง
- ลดเลือนริ้วรอย: ช่วยให้ริ้วรอย รอยดำ รอยสิว รอยแผลเป็น และหลุมสิวดูจางลง
- ผิวเนียนใสไร้ที่ติ: ช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
- แต่งหน้าติดทนนาน: ผิวสุขภาพดี แต่งหน้าติดทนตลอดวัน
- เห็นผลรวดเร็ว: ให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนกว่าการบำรุงผิวด้วยครีมทั่วไป
PRP หน้าใสเหมาะกับใคร
การทำ PRP หน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวให้สุขภาพดีและมีออร่ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัญหาผิว ดังนี้
- ผู้ที่มีผิวแห้งกร้าน: PRP ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิว ฟื้นฟูผิวให้กลับมามีชีวิตชีวา ผิวดูอิ่มน้ำและยืดหยุ่นมากขึ้น
- ผู้ที่มีผิวหมองคล้ำ ไม่สดใส: PRP กระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใส เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ
- ผู้ที่มีรอยคล้ำใต้ตา: PRP ช่วยลดเลือนวงใต้ตา ทำให้บริเวณใต้ตาดูสว่างขึ้น ผิวดูอ่อนเยาว์
- ผู้ที่มีรอยแผลเป็น รอยสิว หลุมสิว: PRP ช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลง ผิวเรียบเนียนขึ้น
- ผู้ที่มีหลังการทำศัลยกรรม: PRP ช่วยเร่งการสมานแผล ลดรอยแดง รอยบวม ทำให้ผิวฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ใครบ้างที่ไม่ควรทำ
แม้ PRP หน้าใสจะเป็นสารสกัดจากเลือดของตัวผู้ป่วยเอง จึงมีความปลอดภัยสูง แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และลดความเสี่ยงจากการรักษา ซึ่งผู้ที่มีภาวะสุขภาพดังต่อไปนี้ไม่ควรรับการรักษา PRP
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือด: ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ผู้ที่มีการติดเชื้อ: ผู้ที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดหรือบริเวณที่จะทำการรักษา
- ผู้ที่มีการใช้ยาบางชนิด: ผู้ที่กำลังรับประทานยาแอสไพริน ยากลุ่ม NSAID หรือยาต้านเกล็ดเลือด เพราะจะไปยับยั้งการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีภาวะสุขภาพอื่น ๆ : ผู้ที่กำลังป่วย มีไข้ หรือเพิ่งหายจากการเจ็บป่วย ผู้ป่วยโรคมะเร็ง (โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดและมะเร็งกระดูก)
- สตรีมีครรภ์: หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรทำการรักษา PRP เพราะอาจจะส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
ข้อดีของการทำ PRP หน้าใส
- PRP สกัดมาจากเลือดของผู้ป่วยเอง จึงลดความเสี่ยงต่อการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียง
- หลังทำ PRP เพียงไม่กี่ครั้ง จะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวที่กระจ่างใสขึ้น รูขุมขนกระชับ
- หลังทำ PRP สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อาจมีรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองในไม่กี่วัน
ข้อจำกัดของการทำ PRP หน้าใส
ไม่ควรทำ PRP หน้าใส ร่วมกับการทำ Botox หรือการฉีด Filler ภายในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อกำหนดระยะห่างในการทำแต่ละครั้ง
การเตรียมตัวก่อนทำ
การทำ PRP หน้าใสนั้นจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายพร้อมและได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- นอนหลับให้ได้อย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้เต็มที่
- หยุดใช้ยาหรืออาหารเสริมที่มีส่วนผสมของ Retinol และ AHA เป็นเวลา 1 สัปดาห์ก่อนทำการรักษา
- งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดอย่างน้อย 2-3 วันก่อนทำการรักษา
- งดยากลุ่มแอสไพรินหรือยาต้านการอักเสบไม่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อย่างน้อย 48 ชั่วโมงก่อนทำการรักษา
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอประมาณ 1.5-2 ลิตรในเช้าวันนัดหมาย เพื่อให้เลือดไหลเวียนดี
- งดการแต่งหน้าในวันนัดหมาย
ขั้นตอนการทำ PRP หน้าใส
ขั้นตอนการทำ PRP หน้าใสจะแตกต่างกันไปตามความชำนาญของแพทย์และเครื่องมือที่ใช้ ดังนี้
- แพทย์จะทำการตรวจประเมินใบหน้าของคุณ เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
- ก่อนเริ่มทำหัตถการ แพทย์จะทำการเช็ดยาชาบริเวณที่ต้องการรักษา
- แพทย์จะเจาะเลือดของคุณเพียงเล็กน้อย แล้วนำไปปั่นแยกเพื่อสกัดเอาส่วนที่สำคัญที่สุดคือ เกล็ดเลือดออกมา
- เกล็ดเลือดที่ได้จะถูกนำมาฉีดกลับเข้าสู่ผิวของคุณ โดยแพทย์จะใช้เครื่องมือพิเศษช่วยในการกระจายเกล็ดเลือดให้ทั่วถึงในบริเวณที่ต้องการบำรุง
การดูแลตัวเองหลังทำ
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำหลังทำการรักษา ดังนี้
- 24 ชั่วโมงแรกหลังทำ งดล้างหน้า หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ และของร้อน เพื่อลดอาการบวมช้ำ
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ ออกกำลังกายหนัก ๆ การถูหรือเกาบริเวณที่ทำการรักษา และการประคบเย็น
- งดรับประทานยาแก้ปวดกลุ่มแอสไพริน นูโรเฟน และอาหารเสริมบางชนิด เช่น วิตามินรวม น้ำมันปลา เป็นต้น เนื่องจากอาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้เกิดรอยฟกช้ำได้
- หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน
- สามารถแต่งหน้าได้หลังทำการรักษา 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ
PRP หน้าใสปลอดภัยแค่ไหน
การฉีด PRP หน้าใสปลอดภัยแค่ไหน? เนื่องจาก PRP สกัดมาจากเลือดของตัวเราเอง จึงมีความเสี่ยงในการแพ้น้อยมาก ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม หลังฉีดอาจมีอาการข้างเคียงเล็กน้อยในบางคน เช่น ปวด บวม หรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด แต่จะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
จะเห็นผลชัดเจนเมื่อไร กี่ครั้งเห็นผล
ต้องทำ PRP หน้าใส กี่ครั้งถึงเห็นผล? โดยทั่วไปแล้ว ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่จะเห็นผลชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 3 เดือนแรก ทั้งนี้ถ้าอยากให้ผลลัพธ์อยู่ได้นาน แนะนำให้ทำซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 4-6 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้จะอยู่กับคุณนานถึง 1-2 ปี
PRP หน้าใสราคาเท่าไร
ราคาการทำ PRP หน้าใส 1 ครั้ง อาจอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป แต่ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละสถานพยาบาลและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น จำนวนครั้งที่ทำ เพราะการทำ PRP มักจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อทำเป็นคอร์สหลายครั้ง
รีวิวการทำ PRP หน้าใส
รูปรีวิว Before-after
เลือกทำ PRP Ready ที่ Zeniq Holistic ดีกว่าอย่างไร
PRP Ready คือทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการดูแลผิวอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องกังวลกับขั้นตอนการสกัดเลือดที่ยุ่งยาก ด้วย PRP สำเร็จรูปคุณภาพสูง ผลิตจากเกล็ดเลือดบริสุทธิ์ในห้องแล็บมาตรฐานของคลินิก ทำให้ได้ PRP เข้มข้น ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ฟื้นฟูผิวให้กลับมาอ่อนเยาว์ กระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียน เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาผิวหมองคล้ำ ผิวไม่สม่ำเสมอ หรือผิวแห้งกร้าน
Zeniq Holistic ขอมอบประสบการณ์การดูแลผิวระดับพรีเมียมด้วยโปรแกรม Zeniq PRP Premium ในราคาพิเศษ เพียง 18,000 บาท มั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่น่าพอใจ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมดูแลคุณอย่างใกล้ชิด
สรุป
PRP หน้าใสเป็นนวัตกรรมการดูแลผิวที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวจากภายในสู่ภายนอก ที่นำเลือดของผู้ป่วยมาสกัดเอาเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วย Growth Factor ที่มีหน้าที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ กระจ่างใส รูขุมขนกระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว รอยดำ รอยแดง หรือผิวขาดน้ำ
นอกจากนี้ การรักษาด้วย PRP หน้าใสยังมีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเอง จึงลดความเสี่ยงต่อการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล