อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง คือ สภาวะที่ร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างต่อเนื่อง แม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก สาเหตุของอาการนี้ อาจเกิดจากการนอนไม่หลับ ความเครียด การขาดสารอาหาร หรือโรคเรื้อรังบางชนิด หากคุณกำลังมีอาการอ่อนเพลีย บทความนี้จะพาคุณไปค้นหาสาเหตุและวิธีแก้ไข เพื่อให้คุณกลับมามีพลังในการใช้ชีวิตอีกครั้ง
สังเกตอาการอ่อนเพลีย ที่ต้องหาวิธีแก้ไข
อาการอ่อนเพลียเป็นสัญญาณเตือนที่ร่างกายส่งมาบอกว่าเราต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้
- เหนื่อยล้าตลอดเวลา แม้จะนอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม
- ขาดความกระฉับกระเฉง รู้สึกอยากนอนอยู่ตลอดเวลา
- ไม่มีเรี่ยวแรง ทำกิจวัตรประจำวันได้ยากลำบาก
- สมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้นาน
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน
อาการอ่อนเพลีย เกิดจากอะไรได้บ้าง
อาการอ่อนเพลียไม่มีแรงเกิดจากอะไร? ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่เกินกว่าปกติ อาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่ซับซ้อน ดังนี้
- พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ ความเครียดเรื้อรัง การทานอาหารไม่ครบหมู่ การออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ หรือการใช้สารเสพติด ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- ปัจจัยทางสุขภาพ โรคต่าง ๆ เช่น โรคโลหิตจาง โรคเบาหวาน โรคตับ หรือการติดเชื้อเรื้อรัง สามารถทำให้ร่างกายอ่อนล้าได้ นอกจากนี้ การรักษาโรคบางชนิด เช่น เคมีบำบัด หรือยาบางชนิดก็อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียงนี้ได้
- ปัจจัยทางฮอร์โมน ฮอร์โมนหลายชนิดมีบทบาทสำคัญต่อพลังงานในร่างกาย หากฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตผิดปกติ หรือฮอร์โมนเพศไม่สมดุล จะส่งผลให้รู้สึกอ่อนล้าได้
- ปัจจัยจากการขาดสารอาหาร การขาดวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี วิตามินดี แมกนีเซียม และสังกะสี ซึ่งพบได้ในอาหารจำพวกธัญพืช เนื้อสัตว์ นม และไข่ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการเหนื่อยล้าเรื้อรังได้
อาการอ่อนเพลียส่งผลเสียอย่างไรต่อร่างกาย
อาการอ่อนเพลียนั้นส่งผลกระทบต่อร่างกายและคุณภาพชีวิตอย่างมาก ดังนี้
- ระบบประสาท ปัญหาในการนอนหลับ ไม่สดชื่น อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิ ความจำเสื่อม ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบประสาท
- กล้ามเนื้อและกระดูก อาการปวดเมื่อยตามตัวและข้อกระดูก อาจเกิดจากการที่ร่างกายอ่อนล้าและไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้อย่างเต็มที่
- ระบบภูมิคุ้มกัน ต่อมน้ำเหลืองโตหรือเจ็บ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังทำงานหนักเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อหรือความผิดปกติอื่น ๆ
- จิตใจ อาการอ่อนเพลียเรื้อรังอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำให้เกิดความเครียด กังวล ซึมเศร้า และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม
7 วิธีแก้อาการอ่อนเพลียไม่มีแรง ชาร์จแบตให้ร่างกาย
หากคุณรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่มีแรง ลองมาดู 7 วิธีแก้อาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ไม่มีแรงกัน รับรองว่าช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่แน่นอน
1. ผ่อนคลาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หากคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งส่งผลต่อการนอนหลับ ทำให้คุณนอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนล้าและความเครียดก็จะทวีคูณขึ้นไปอีก ดังนั้น การจัดการกับความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ การฟังเพลง หรือการนอนหลับให้เพียงพอ ซึ่งการนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อวันจะช่วยลดระดับคอร์ติซอลได้เป็นอย่างดี สิ่งสำคัญคือการค้นหาวิธีที่เหมาะกับตัวเอง เพื่อให้สามารถผ่อนคลายและลดความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เน้นการทานโปรตีน
อาการอ่อนเพลีย ง่วงนอนไม่มีแรง แก้ได้ด้วยการทานโปรตีนที่เพียงพอ ซึ่งโปรตีนคือสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้อิ่มนาน เนื่องจากร่างกายใช้เวลาย่อยนานกว่าสารอาหารประเภทอื่น นอกจากจะช่วยให้เรามีพลังงานอย่างต่อเนื่องแล้ว โปรตีนยังมีส่วนช่วยเพิ่มรสชาติและสัมผัสที่ดีให้กับอาหารอีกด้วย เมื่อร่างกายได้รับโปรตีนเพียงพอ จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีแรงตลอดทั้งวัน
อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ควรทานควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายและเพียงพอต่อความต้องการ
3. ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวัน
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นหนึ่งในวิธีแก้ไขอาการอ่อนเพลียตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายขาดน้ำ เลือดจะข้นหนืด ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้นในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้าและไม่มีแรง นอกจากนี้ การขาดน้ำยังส่งผลต่อระบบเผาผลาญ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารไม่เพียงพอ คุณสามารถสังเกตได้จากสีปัสสาวะ หากสีเข้มแสดงว่าคุณกำลังขาดน้ำ ควรเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำให้มากขึ้น โดยทั่วไปแล้ว การปัสสาวะทุก ๆ 2-3 ชั่วโมงถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ
4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มพลังงานและลดอาการอ่อนล้า เพราะการออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและมีพลังงานมากขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้รับออกซิเจนและสารอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ไม่ทำให้เรารู้สึกอ่อนล้าหรือเหนื่อยง่าย
5. ทำ Ozone Therapy
Ozone Therapy กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะสามารถช่วยให้เรารู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังงานมากขึ้น ซึ่งวิธีการนี้ทำงานอย่างไร? คำตอบอยู่ที่โมเลกุลเล็ก ๆ ชื่อ โอโซน (O₃) ซึ่งประกอบด้วยอะตอมออกซิเจน 3 อะตอม เมื่อโอโซนเข้าสู่ร่างกาย มันจะไปกระตุ้นส่วนเล็ก ๆ ภายในเซลล์ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย ซึ่งเปรียบเสมือนโรงงานผลิตพลังงานของเซลล์ เมื่อไมโตคอนเดรียทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายก็จะผลิตพลังงานที่จำเป็นต่อการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากขึ้น ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและมีแรงมากขึ้นนั่นเอง
6. ดริปวิตามิน
การดริปวิตามิน คือการส่งมอบวิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน หรือแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านทางเส้นเลือด เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกายอย่างเร่งด่วนหรือมีภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งสูตรของวิตามินที่ใช้ในการดริปนั้นจะแตกต่างกันไปตามความต้องการและสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและแนะนำสูตรที่เหมาะสม
7. กระตุ้นเซลล์ด้วย IV Laser Therapy
อาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกายในผู้สูงอายุ สามารถแก้ได้ด้วย IV Laser Therapy ที่เป็นเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ใช้แสงเลเซอร์ส่งผ่านทางหลอดเลือดดำเพื่อกระตุ้นการทำงานของไมโตคอนเดรีย ซึ่งเปรียบเสมือนโรงไฟฟ้าขนาดเล็กภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ได้รับพลังงาน ATP เพิ่มขึ้น เหมือนการชาร์จแบตให้กับเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ผลลัพธ์ที่ได้คือ ร่างกายของคุณจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังงานมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น ช่วยให้คุณพร้อมรับมือกับทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่
อ่อนเพลียแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์
หากอาการอ่อนเพลียของคุณมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ ที่รุนแรงขึ้น เช่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดหัว เจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่นหรือรู้สึกเหมือนจะเป็นลม อาจเป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คิดได้ การรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ อาการปวดท้องรุนแรง ปวดศีรษะอย่างต่อเนื่อง หรือปวดเมื่อยตามตัวอย่างรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ก็ควรได้รับการตรวจสอบจากแพทย์เช่นกัน
ถึงแม้ว่าอาการอ่อนเพลียของคุณจะยังไม่รุนแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ เนื่องจากอาการอ่อนเพลียไม่มีแรงอาจมีสาเหตุมาจากโรคต่าง ๆ มากมาย การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัย จะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ช่วยลดความรุนแรงของโรค และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในอนาคตได้
สรุป
อาการอ่อนเพลีย เป็นสภาวะที่ร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือ เราจะรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม สาเหตุของอาการนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่ปัญหาการนอนหลับ ความเครียดที่สะสม หรือแม้แต่การขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
นอกจากนี้ โรคเรื้อรังบางชนิดก็อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรังได้เช่นกัน เพื่อรับมือกับปัญหานี้ ควรปรับปรุงพฤติกรรมการนอนหลับ การรับประทานอาหาร การดื่มน้ำ การออกกำลังกายรวมถึงการจัดการความเครียด นอกจากนี้ การได้รับวิตามินเสริม หรือการทำ IV Laser Therapy ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตาม หากอาการอ่อนเพลียเรื้อรังของคุณรุนแรงขึ้น เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด