ในยุคที่ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพและความงามมากขึ้น วิธีการบำบัดรักษาใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “Cryotherapy” หรือการบำบัดด้วยความเย็น ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า Cryotherapy คืออะไร? สามารถรักษาหรือใช้บำบัดโรคอะไรได้บ้าง? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับศาสตร์การรักษาด้วยความเย็นที่น่าทึ่งนี้
Cryotherapy คืออะไร
Cryotherapy คือวิธีการบำบัดที่ใช้ความเย็นจัด โดยไม่ต้องสัมผัสร่างกายโดยตรง มีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ทั้งช่วยคลายกล้ามเนื้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาท และบรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบ นอกจากนี้ ยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนัง และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท รวมถึงยังช่วยลดอาการปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ และลดการอักเสบโดยการลดอุณหภูมิผิวหนัง
นอกจากนี้ การใช้ Cryotherapy ภายใน 6 สัปดาห์หลังการบาดเจ็บสามารถช่วยลดอาการบวม อักเสบ และความเจ็บปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น การบำบัดด้วยความเย็นยังช่วยชะลออัตราการเผาผลาญ ป้องกันการตายของเซลล์ข้างเคียงเนื่องจากการขาดออกซิเจน และลดความเร็วในการส่งสัญญาณประสาท
5 ประโยชน์ของ Cryotherapy
Cryotherapy ไม่เพียงแต่เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ยังมอบประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ มาดูกันว่าการบำบัดด้วย Cryotherapy ช่วยอะไร ดังนี้
รักษาโรคข้ออักเสบ
Cryotherapy เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดและอักเสบในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ โดยความเย็นจะช่วยลดการอักเสบและบวมในข้อต่อ ทำให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
รักษาโรคผิวหนังอักเสบจากระบบประสาท
สำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหนังอักเสบที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท Cryotherapy สามารถช่วยบรรเทาอาการคัน แดง และอักเสบได้
ลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือข้อต่อ
นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายหนักมักใช้ Cryotherapy เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อต่อ ช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น หลังการออกกำลังกายหรือการแข่งขัน
ทำให้ผิวหนังเย็นลง มีผลต้านการอักเสบ
นอกจากประโยชน์ทางการแพทย์ Cryotherapy ยังถูกนำมาใช้ในวงการความงาม เพื่อลดการอักเสบของผิวหนัง ช่วยให้ผิวกระชับและมีสุขภาพดีขึ้น
ลดอาการบวม
ในกรณีที่เกิดการบาดเจ็บเฉียบพลัน การใช้ Cryotherapy ภายใน 6 สัปดาห์แรกสามารถช่วยลดอาการบวม อักเสบ และปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Cryotherapy รักษากลุ่มอาการใดได้บ้าง
มาดูกันว่าการบำบัดด้วยความเย็นจัดนี้สามารถช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพใดได้บ้าง ดังนี้
- ผู้ที่มีกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นได้รับบาดเจ็บ: ไม่ว่าจะเป็นจากการเล่นกีฬาหรืออุบัติเหตุ Cryotherapy สามารถช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูได้
- อาการปวดจากโรคข้ออักเสบ: ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบสามารถใช้ Cryotherapy เพื่อบรรเทาอาการปวดและลดการอักเสบ
- อาการปวดจากกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และข้อต่ออักเสบเฉียบพลัน: เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอักเสบเฉียบพลันจากการบาดเจ็บหรือการใช้งานมากเกินไป
- อาการโรคผิวหนังอักเสบ: ช่วยบรรเทาอาการคันและอักเสบของผิวหนังได้
- ผู้ที่มีอาการล้าจากการออกกำลังกาย: นักกีฬาและผู้ที่ออกกำลังกายหนักสามารถใช้ Cryotherapy เพื่อฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้น
- ผู้ที่มีอาการบวมจากการอักเสบ: ไม่ว่าจะเป็นการบวมจากการบาดเจ็บหรือโรคต่าง ๆ Cryotherapy สามารถช่วยลดอาการบวมได้
- ผู้ที่ฟกช้ำจากอุบัติเหตุ: ช่วยให้รอยช้ำหายเร็วขึ้น
ข้อดีของการกายภาพบำบัด
Cryotherapy หรือการบำบัดด้วยความเย็น เป็นวิธีการรักษาที่ใช้อุณหภูมิต่ำมากเพื่อบำบัดอาการต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะมีข้อดี ดังนี้
- ลดอาการปวดในระยะอักเสบได้ทันที: ผู้ป่วยมักรู้สึกถึงการบรรเทาอาการปวดทันทีหลังการรักษา
- เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ: ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและทำงานได้ดีขึ้น
- เร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ: ช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย
- ลดการอักเสบและอาการบวม: มีประสิทธิภาพสูงในการลดการอักเสบและบวมในร่างกาย
- ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ: โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง
- ปลอดภัย: ไม่มีการสัมผัสกับความเย็นโดยตรง ทำให้เกิดอาการ Frostbite (เนื้อเยื่อถูกทำลายจากความเย็นจัด) ได้ยาก
- อุณหภูมิคงที่: สามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำ และสามารถลงลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ
- ประหยัดเวลา: ใช้เวลาน้อยกว่าการรักษาด้วยความเย็นแบบอื่น ๆ
ข้อควรระวังของกายภาพบำบัด
แม้ว่า Cryotherapy จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังสำหรับบางกลุ่มคน ดังนี้
- ผู้ที่ไวต่อความเย็น: บางคนอาจมีอาการแพ้ หรือตอบสนองต่อความเย็นมากเกินไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- บริเวณที่มีการไหลเวียนของเลือดน้อย: ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้ Cryotherapy บริเวณที่มีเลือดไหลเวียนน้อย เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายต่อเนื้อเยื่อ
- ผู้ที่มีปัญหาในการปรับสมดุลอุณหภูมิร่างกาย: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ Cryotherapy เนื่องจากอาจส่งผลต่อการทำงานของระบบควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
- ผู้ที่มีการรับความรู้สึกผิดปกติ: ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะไม่สามารถรับรู้ถึงความเย็นที่มากเกินไปได้
ข้อห้ามของกายภาพบำบัด
มีบางกรณีที่ไม่ควรใช้ Cryotherapy เด็ดขาด ดังนี้
- บริเวณที่มีบวมแดง เป็นผื่น: ควรรอให้อาการดีขึ้นก่อนใช้ Cryotherapy
- ผู้ป่วยที่เป็นโรคแพ้ความเย็น: มีหลายโรคที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ความเย็น ซึ่งไม่ควรใช้ Cryotherapy ดังนี้
- Cold Urticaria: เกิดผื่น บวมแดงเมื่อได้รับความเย็น
- Cryoglobulinemia: เมื่อได้รับความเย็นอาจทำให้เกิดการขาดเลือดหรือเนื้อตาย
- Raynaud’s phenomenon: ความเย็นทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่ดี
- Paroxysmal cold hemoglobinuria: ความเย็นทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก
วิธีการเตรียมตัวก่อนทำ Cryotherapy
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ Cryotherapy และลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง ควรเตรียมตัว ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการรักษาด้วย Cryotherapy โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์
- งดการใช้ครีมหรือโลชั่น: ก่อนทำ Cryotherapy ควรทำความสะอาดผิว และงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ
- แจ้งประวัติการแพ้: หากมีประวัติการแพ้ความเย็น หรือมีอาการผิดปกติเมื่อสัมผัสความเย็น ควรแจ้งให้ผู้ให้บริการทราบก่อนเริ่มการรักษา
- แต่งกายให้เหมาะสม: สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายและหลวม เพื่อให้ง่ายต่อการเข้ารับการรักษา
- งดอาหารและเครื่องดื่ม: ควรงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการคลื่นไส้
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับการบำบัด
8 ขั้นตอนการทำ Cryotherapy
มาดู 8 ขั้นตอนในการทำ Cryotherapy โดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้
- การเตรียมตัว: ผู้รับการบำบัดจะต้องถอดเครื่องประดับ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด สวมชุดว่ายน้ำหรือชุดชั้นในที่แห้ง รวมถึงถุงมือและถุงเท้าเพื่อป้องกันปลายมือปลายเท้า
- การตรวจสอบสุขภาพ: แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะตรวจวัดความดันโลหิตและอุณหภูมิร่างกายก่อนเริ่มการบำบัด
- การเข้าห้องบำบัด: ผู้รับการบำบัดจะเข้าไปยืนในห้อง หรือแคปซูลพิเศษที่ออกแบบมาสำหรับ Cryotherapy โดยเฉพาะ โดยศีรษะจะอยู่เหนือระดับของไนโตรเจนเหลว
- การบำบัด: ไนโตรเจนเหลวจะถูกฉีดเข้าไปในห้อง ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วถึงประมาณ -110 ถึง -140 องศาเซลเซียส การบำบัดจะใช้เวลาประมาณ 2-3 นาที
- การสังเกตอาการ: ระหว่างการบำบัด ผู้เชี่ยวชาญจะคอยสังเกตอาการและสอบถามความรู้สึกของผู้รับการบำบัดอย่างใกล้ชิด
- การออกจากห้องบำบัด: เมื่อครบเวลา ผู้รับการบำบัดจะออกจากห้องหรือแคปซูลทันที
- การปรับอุณหภูมิร่างกาย: หลังจากนั้น ร่างกายจะค่อย ๆ ปรับอุณหภูมิกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งอาจมีการออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อช่วยในการไหลเวียนโลหิต
- การประเมินผล: แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบสภาพร่างกายอีกครั้งและให้คำแนะนำหลังการบำบัด
การดูแลตัวเองหลังทำ Cryotherapy
เมื่อเข้ารับการบำบัดด้วย Cryotherapy แล้ว ควรดูแลตัวเอง ดังนี้
- อบอุ่นร่างกาย: หลังจากการบำบัด ควรค่อย ๆ ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ โดยการสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นหรือดื่มเครื่องดื่มอุ่น ๆ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำจากการบำบัด
- พักผ่อน: ควรพักผ่อนให้เพียงพอหลังการบำบัด เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพและฟื้นฟู
- สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติใด ๆ เช่น ผิวหนังเปลี่ยนสี หรือรู้สึกชาตามร่างกาย ควรแจ้งแพทย์ทันที
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องความถี่ในการรับการบำบัด
ทำ Cryotherapy ราคาเท่าไร
ราคาการทำ Cryotherapy อาจแตกต่างกันไปตามสถานที่ให้บริการและประเภทของการบำบัด โดยทั่วไปมีดังนี้
- การบำบัดทั้งตัว (Whole Body Cryotherapy) เป็นวิธีที่ผู้รับการบำบัดจะเข้าไปอยู่ในห้องหรือแคปซูลพิเศษที่มีอุณหภูมิต่ำมาก
- การบำบัดเฉพาะจุด (Localized Cryotherapy) เป็นการใช้ความเย็นจัดรักษาบริเวณเฉพาะของร่างกาย เช่น ข้อต่อที่อักเสบหรือกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ
- การบำบัดใบหน้า (Cryo Facial) โดยใช้อุปกรณ์พิเศษที่ปล่อยไอเย็นจัดไปบนผิวหน้า การบำบัดนี้มักใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
สรุป
Cryotherapy เป็นวิธีการบำบัดด้วยความเย็นที่มีประโยชน์มากมาย ตั้งแต่การบรรเทาอาการปวด ลดการอักเสบ ไปจนถึงการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจทำ Cryotherapy ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อประเมินความเหมาะสมและความปลอดภัยสำหรับสุขภาพของคุณ
การใช้ Cryotherapy อย่างถูกวิธี อาจเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลสุขภาพและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคุณให้ดียิ่งขึ้น แต่เช่นเดียวกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ควรใช้ร่วมกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพของคุณ