รักษาผมร่วงยังไงดี? ผมร่วงหนัก! สาเหตุที่คุณต้องรู้ และวิธีแก้ไข

Hair loss รักษาผมร่วง

ผมร่วงเป็นปัญหาที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเจอ! ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มสาววัยทำงาน ก็ต่างประสบกับปัญหาผมบาง ศีรษะล้านกันทั้งนั้น สาเหตุมาจากอะไร? มีวิธีแก้ไขอย่างไร? มาไขข้อข้องใจไปพร้อมกัน ได้ในบทความนี้ เพราะเราจะพาคุณไปเจาะลึกวิธีรักษาด้วยนวัตกรรมสุดล้ำ ที่จะช่วยให้คุณมีผมสวยสุขภาพดีกลับคืนมาได้อีกครั้ง

ผมร่วง (Hair Loss) คืออะไร? เกิดจากอะไรได้บ้าง

ภาวะผมร่วง หรือ Hair Loss คือภาวะที่เส้นผมหลุดร่วงมากกว่าปกติ โดยทั่วไปคนเราจะมีผมร่วงวันละประมาณ 50-100 เส้นถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีการร่วงมากกว่านี้ อาจเข้าข่ายภาวะผมร่วงผิดปกติ มาดูอาการและสาเหตุของผมร่วงได้ ดังนี้

  • ผมร่วงทั่วศีรษะ: ผมบางลงอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งศีรษะ มักมีสาเหตุมาจากปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยรวม เช่น ภาวะเครียดสะสม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือโรคบางประเภท เป็นต้น
  • ผมร่วงเป็นหย่อม: อาการผมร่วงลักษณะนี้มีชื่อทางการแพทย์ว่า Alopecia Areata ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการร่วงของเส้นผมเป็นวงกลมหรือหย่อมเฉพาะจุด บริเวณที่ผมร่วงจะเห็นหนังศีรษะชัดเจน โดยขนาดของวงอาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่แตกต่างกันไป บางรายอาจพบหลายจุดในเวลาเดียวกัน
  • ผมบางบริเวณด้านหน้า: พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยกลางคนขึ้นไป โดยจะสังเกตเห็นว่าผมบางลงอย่างชัดเจนบริเวณขมับและหน้าผาก มักมีการถอยร่นของแนวผมด้านหน้า ทำให้หน้าผากดูกว้างขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ
  • ผมร่วงตามกรรมพันธุ์: ส่วนใหญ่จะพบได้ในผู้ชาย หรือที่เรียกว่า Male Pattern Baldness มีรูปแบบการร่วงที่เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะการร่วงที่เป็นรูปตัว M บริเวณหน้าผาก โดยจะเริ่มจากบริเวณขมับและกลางศีรษะ ซึ่งจะพบประวัติการเป็นศีรษะล้านในครอบครัว เพราะเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม 
  • ผมร่วงที่เกิดจากพฤติกรรม: ส่วนมากเกิดจากความเครียดสะสม หรือมีความผิดปกติทางด้านจิตใจ รวมถึงผลกระทบจากการเจ็บป่วย เช่น การมีผมร่วงในคุณแม่หลังคลอด การมีผมร่วงหลังการติดเชื้อโควิด เป็นต้น

การรักษาผมร่วงด้วยวิธีธรรมชาติ

การรักษาผมร่วงด้วยวิธีธรรมชาติเป็นทางเลือกที่หลายคนสนใจ เนื่องจากมีความปลอดภัยและสามารถทำได้ง่ายที่บ้าน โดยมีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการบำรุงเส้นผมและลดอาการผมร่วง ดังนี้

  • ใช้มะกรูดหมักผม: ช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรง ลดผมร่วง ขจัดรังแค และทำให้ผมนุ่มลื่นขึ้น
  • หมักผมหรือกรองน้ำอัญชันไปผสมกับแชมพู: กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เส้นผมดกดำและเงางาม
  • ชโลมว่านหางจระเข้ทั่วหนังศีรษะ: ช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยลดการคันของหนังศีรษะ
  • นำน้ำมันจากขิงมาชโลมทั่วหนังศีรษะ: ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เส้นผมงอกใหม่ได้เร็วขึ้น
  • ปั่นเคี่ยวใบบัวบกกับน้ำมะพร้าว แล้วชโลมทั่วหนังศีรษะ: จะช่วยบำรุงรากผม ชะลอผมหงอก และต้านเชื้อแบคทีเรียได้
  • นวดหนังศีรษะและหมักผมด้วยน้ำมันมะพร้าว: เพื่อบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงและลดแบคทีเรียบนหนังศีรษะ
  • หมักผมด้วยทองพันชั่ง: จะช่วยลดเชื้อราและกระตุ้นการงอกของเส้นผม
  • ใช้น้ำใบชะครามไปหมักผม: ช่วยล้างสารพิษและเร่งการเจริญเติบโตของผม
  • ผสมบอระเพ็ดกับน้ำซาวข้าวแล้วหมักผม: จะบำรุงเส้นผมให้ดกดำและแข็งแรง

การรักษาผมร่วงทางการแพทย์

หากการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติไม่ได้ผล ยังมีการรักษาผมร่วงโดยวิธีทางการแพทย์ ดังนี้

1. การรักษาด้วย PRP (Platelet-Rich Plasma)

PRP คือการนำเลือดของผู้ป่วยมาปั่นแยก เพื่อให้ได้พลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูง ซึ่งประกอบด้วย Growth Factors ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดและการแบ่งเซลล์ ซึ่งการฉีด PRP เข้าไปที่หนังศีรษะจะช่วยฟื้นฟูเซลล์รากผม ทำให้เส้นผมที่งอกใหม่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงมากขึ้น

PRP เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีอาการผมร่วง ผมบาง หรือศีรษะล้าน 
  • ผู้ที่ไม่สามารถทำการปลูกผมด้วยวิธี FUE หรือ FUT 

PRP ไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะการรักษาด้วย PRP อาจส่งผลต่อสุขภาพของแม่และทารกในครรภ์
  • ผู้ที่ใช้ยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด
  • ผู้ที่มีโรคมะเร็งผิวหนังหรือโรคผิวหนังอื่นๆ เช่น Squamous Cell Carcinoma, Basal Cell Carcinoma และ Melanoma เป็นต้น
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดอาจไม่เหมาะสมกับการรักษานี้
  • ผู้ที่มีโรคตับหรือโรคทางภูมิคุ้มกัน รวมถึงผู้ที่มีภาวะติดเชื้อรุนแรง

2. การรักษาด้วย Stem Cell

Stem Cell มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งรวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเส้นผม ซึ่งการรักษาด้วย Stem Cell จะใช้เซลล์ที่ได้จากร่างกายของผู้ป่วยเอง เช่น จากไขมันใต้ผิวหนัง (Adipose) ซึ่งมีเซลล์ต้นกำเนิดอยู่ในปริมาณมาก

Stem Cell เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีอาการผมร่วงที่เกิดจากพันธุกรรม เช่น ภาวะ Androgenic Alopecia ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการหลุดร่วงของเส้นผม
  • ผู้ที่มีปัญหาฮอร์โมนผิดปกติ เช่น ฮอร์โมนไทรอยด์หรือฮอร์โมนเพศชาย (DHT) ที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
  • ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติ ขาดสารอาหาร วิตามิน หรือแร่ธาตุต่าง ๆ

Stem Cell ไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ศีรษะล้านอย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าหากรูขุมขนถูกปิดไปแล้ว การรักษานี้อาจไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก Stem Cell ต้องมีพื้นที่ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม

3. การใช้ยา Minoxidil

Minoxidil เป็นยาที่ใช้ในการรักษาผมร่วงเป็นหย่อม หรือผมบาง โดยมีการพัฒนามาจากการใช้เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งมีคุณสมบัติในการขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ส่งผลให้รากผมได้รับสารอาหารที่จำเป็นมากขึ้น โดย Minoxidil มี 2 รูปแบบตามการใช้งาน ดังนี้

  • แบบรับประทาน: มีประสิทธิภาพสูงในการกระตุ้นการงอกของเส้นผม แต่มีข้อเสียคืออาจทำให้ขนขึ้นทั่วตัว
  • แบบทา: มีหลายรูปแบบ เช่น น้ำ สเปรย์ และโฟม

Minoxidil เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถรักษาผมร่วงได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชายที่มีอาการผมบางบริเวณกลางศีรษะ
  • ผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วงชั่วคราวจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น ความเครียด โรคเกี่ยวกับหนังศีรษะ หรือการใช้ยาบางชนิด
  • เหมาะกับผู้สูงอายุ แม้ว่า Minoxidil จะสามารถใช้ได้กับผู้สูงอายุ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อความปลอดภัย

Minoxidil ไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยา ควรหลีกเลี่ยงการใช้ Minoxidil หากมีประวัติแพ้ยา
  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากอาจมีผลต่อทารก
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคลมชัก เป็นต้น

4. การใช้กลุ่มวิตามินร่วมกับการทำ Treatment

ปัจจุบันการรักษาผมร่วงด้วยวิตามินร่วมกับ Treatment กำลังได้รับความนิยม โดยแพทย์จะนำกลุ่มวิตามินต่าง ๆ เช่น Zinc, Biotin และ Vitamin B12 มาใช้ร่วมกับ Minoxidil เพื่อกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมและเสริมความแข็งแรง

วิตามินร่วมกับการทำ Treatment เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่ขาดสารอาหาร และต้องการฟื้นฟูสุขภาพเส้นผม
  • ผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะ

วิตามินร่วมกับการทำ Treatment ไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่แพ้สารเคมี
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวานหรือโรคภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มใช้วิตามินหรือทำ Treatment เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง
  • ผู้ที่ใช้ยาอื่น ๆ อยู่แล้ว

5. การปลูกผม

การสังเกตเห็นเส้นผมร่วงหลุดในชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาผมร่วง ผมบาง ที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการพบเส้นผมติดหวีเป็นจำนวนมากหลังการหวีผม หรือการพบเส้นผมอุดตันท่อระบายน้ำหลังสระผม รวมถึงการสังเกตเห็นหนังศีรษะชัดเจนขึ้นเมื่อส่องกระจก ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณอาจกำลังเผชิญกับปัญหาผมร่วง และการปลูกผมอาจเป็นทางออกหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้นั่นเอง

การปลูกผมเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาผมร่วงจากกรรมพันธุ์
  • ผู้ที่ทดลองวิธีรักษาอื่นแล้วไม่ได้ผล
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ถาวร
  • ผู้ที่มีบริเวณศีรษะที่ไม่มีเส้นผมและต้องการแก้ไข

การปลูกผมไม่เหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีเส้นผมบริเวณท้ายทอยไม่เพียงพอสำหรับการปลูก
  • ผู้ที่มีอาการศีรษะล้านแบบกระจายทั่วศีรษะ และมีเส้นผมไม่พอสำหรับนำมาปลูก
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลคีลอยด์ง่าย
  • ผู้ที่มีโรค การอักเสบ หรือการติดเชื้อที่หนังศีรษะที่ยังไม่หาย (ควรรักษาให้หายก่อนพิจารณาปลูกผม)

การปลูกผม คืออะไร

การปลูกผม เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือศีรษะล้าน โดยการนำรากผมที่มีสุขภาพดีจากบริเวณท้ายทอยหรือเหนือกกหู ซึ่งเป็นบริเวณที่มีความแข็งแรงและไม่ไวต่อฮอร์โมน DHT ฮอร์โมนหลักของปัญหาผมร่วงในผู้ชาย มาปลูกถ่ายลงในบริเวณที่ต้องการ เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของเส้นผม ทำให้ผมใหม่ที่งอกขึ้นมามีลักษณะเหมือนผมจริงและอยู่ได้อย่างถาวร 

ปลูกผม มีกี่แบบ

การปลูกผมถาวรเป็นวิธีการทางการแพทย์ที่ช่วยแก้ปัญหาผมร่วงหรือผมบางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแพทย์จะนำรากผมที่มีสุขภาพดีจากบริเวณท้ายทอยซึ่งเป็นส่วนที่มีผมหนาแน่น ย้ายไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการ เช่น บริเวณหน้าผากหรือกลางศีรษะ ปัจจุบันมีเทคนิคการปลูกผมอยู่หลายแบบ แต่โดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้

การปลูกผมแบบ Strip FUT

การปลูกผมแบบ Strip FUT เป็นเทคนิคที่ศัลยแพทย์จะผ่าตัดนำหนังศีรษะพร้อมรากผมบริเวณท้ายทอยออกมาเป็นแถบ จากนั้นจึงนำแถบหนังศีรษะนี้ไปแยกกอรากผมแต่ละกอออกจากกัน ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เพื่อให้ได้กอรากผมที่มีคุณภาพดี และเมื่อนำไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการจะทำให้ได้เส้นผมใหม่ที่ดูเป็นธรรมชาติ 

อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่สำคัญของวิธีนี้คือจะทำให้เกิดรอยแผลเป็นเป็นเส้นยาวบริเวณท้ายทอย ซึ่งอาจสังเกตเห็นได้ชัดเจนหากตัดผมสั้น จึงเป็นสิ่งที่ผู้เข้ารับการปลูกผมควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเองก่อนตัดสินใจ

การปลูกผมแบบ FUE

การปลูกผมแบบ FUE เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีข้อดีคือ แพทย์จะใช้เครื่องมือเจาะไฟฟ้าขนาดเล็ก เจาะรากผมออกมาทีละกอ ทำให้ได้รากผมที่สมบูรณ์และไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ส่งผลให้เกิดแผลเล็กมากเพียงประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น ทำให้หลังการปลูกผมแทบจะมองไม่เห็นรอยแผลเป็นเลย 

ถึงแม้การปลูกผมแบบ FUE จะเป็นที่นิยมและให้ผลลัพธ์ที่ดี แต่ก็มีข้อเสีย นั้นก็คือ บริเวณท้ายทอยอาจดูบางลงหลังทำการปลูก เนื่องจากรากผมส่วนหนึ่งถูกนำไปปลูกยังบริเวณที่ต้องการแล้ว นอกจากนี้ กระบวนการสกัดรากผมแบบ FUE อาจทำให้รากผมได้รับความเสียหายได้มากกว่าวิธีอื่น ส่งผลให้บางรากผมอาจไม่สามารถงอกขึ้นมาใหม่ได้ตามปกติ

การปลูกผมแบบ Long hair FUE

การปลูกผมแบบ Long Hair FUE นั้นคล้ายกับเทคนิค FUE แต่จะแตกต่างกันตรงที่เทคนิค FUE โดยปกติจะต้องโกนผมส่วนที่นำมาปลูกให้สั้น เพื่อความสะดวกในการผ่าตัด แต่สำหรับ Long Hair FUE แพทย์จะทำการเจาะรากผมพร้อมกับเส้นผมที่มีความยาวออกมาโดยตรง ทำให้หลังการปลูกผม ผู้เข้ารับการปลูกจะมีเส้นผมที่ยาวทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและไม่ต้องการรอให้ผมยาวขึ้นมาใหม่ 

อย่างไรก็ตาม การปลูกผมด้วยเทคนิคนี้ อาจมีความเสี่ยงที่รากผมจะหลุดร่วงได้ง่ายกว่า เนื่องจากเส้นผมที่มีความยาวอาจส่งผลต่อการยึดเกาะของรากผมกับหนังศีรษะ นอกจากนี้ แม้ว่าจะปลูกผมด้วยเส้นผมที่ยาวแล้ว หลังการปลูกผมก็ยังคงมีอาการผมร่วงตามปกติ ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า Hair Shedding เกิดจากรากผมที่ปลูกใหม่และรากผมเดิมกำลังปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ทำให้ผมร่วงไปในช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะงอกขึ้นมาใหม่

การปลูกผมแบบ DHI

วิธีปลูกผม DHI เป็นการปลูกผมที่เหมือนกับการปลูกผม FUE ทุกอย่าง แต่ต่างเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้ปลูกผม ซึ่ง DHI จะใช้เครื่องมือที่ชื่อว่าปากกาปลูกผม หรือ Implanter ในการปลูกแทนการใช้ Forceps โดยเครื่องมือตัวนี้จะทำให้ผมที่ปลูกลงไปไม่ช้ำ และมีโอกาสปลูกผมติดสูงกว่า

ซึ่ง Zeniq จะมีการนำเทคนิค Long hair+DHI ********** ที่มีเฉพาะที่คลินิก มาใช้ปลุกผม โดยมีจุดเด่นตรงที่จะไร้แผลผ่าตัด หรือแทบมองไม่เห็นแผลเจาะด้านหลัง เพราะเป็นเทคนิคที่ใช้หัวเจาะพิเศษที่มีขนาดเล็ก และใช้น้ำยาแช่กราฟที่ดีที่สุด เพื่อผลลัพธ์การปลูกผม ซึ่งหลังการปลูกผมแทบไม่ต้องการการพักฟื้น ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ 

ด้วยเทคนิคการปลูกผมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของทาง Zeniq ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเราจะมอบผลลัพธ์ที่เป็นที่น่าพอใจ โดยผมใหม่ที่งอกขึ้นจะหนาแน่นและดูเป็นธรรมชาติราวกับเส้นผมเดิม รวมถึงแนวผมที่สวยงามสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและบุคลิกภาพให้กับคุณ

รักษาผมร่วงที่ไหนดี

รักษาผมร่วงที่โรงพยาบาลไหนดี? การเลือกสถานที่รักษาผมร่วงที่เหมาะสมถือเป็นก้าวสำคัญสู่ความสำเร็จในการรักษา โดยผู้ป่วยควรพิจารณาสถานพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำที่มีแผนกผิวหนังและเส้นผม คลินิกเฉพาะทางด้านเส้นผมที่มีชื่อเสียง หรือสถาบันเวชศาสตร์ชะลอวัยที่ได้มาตรฐาน 

ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงคือการมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ประวัติผลงานการรักษาที่น่าเชื่อถือ มาตรฐานการให้บริการที่ดี และความคุ้มค่าของค่าใช้จ่าย เช่นเดียวกับ Zeniq Holistic ที่รวบรวมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมเทคโนโลยีทันสมัยในการรักษาผมร่วง โดยยึดมั่นในมาตรฐานการรักษาระดับสากลและคำนึงถึงความคุ้มค่าสำหรับผู้ป่วยเป็นสำคัญ

6 เคล็ดลับการดูแลและป้องกันผมร่วง ในชีวิตประจำวัน

การดูแลและป้องกันผมร่วงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยรักษาสุขภาพเส้นผมและเพิ่มความมั่นใจในบุคลิกภาพของเรา 

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

เลือกบริโภคอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น นม ถั่ว ไข่ และเนื้อสัตว์ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเส้นผมประกอบด้วยโปรตีนชื่อว่า “เคราติน” นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์และไขมันดี เช่น ปลาแซลมอนและหอยนางรม ก็ช่วยบำรุงเส้นผมได้ดีเช่นกัน

รับประทานวิตามินที่ช่วยบำรุงเส้นผม

วิตามินต่าง ๆ เช่น วิตามินเอ, ซี, อี และไบโอติน จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของเส้นผมและลดโอกาสการหลุดร่วง โดยวิตามินเอช่วยลดความมันของหนังศีรษะ ในขณะที่วิตามินซีช่วยผลิตคอลลาเจน 

ดื่มน้ำให้เพียงพอ

การดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน จะช่วยให้เส้นผมไม่แห้งแตกและลดโอกาสการหลุดร่วงได้

ลดความเครียด

ความเครียดสามารถกระตุ้นการหลุดร่วงของเส้นผมได้ ควรหาวิธีจัดการกับความเครียด เช่น การเล่นกีฬา การหากิจกรรมสันทนาการทำ หรือการพูดคุยกับคนใกล้ชิด เป็นต้น

หมั่นสระผม

ควรสระผมประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อรักษาความสะอาดของหนังศีรษะ โดยการใช้แชมพูอ่อน ๆ จะช่วยลดการระคายเคือง

หลีกเลี่ยงการย้อมสีผมบ่อย ๆ

การย้อมสีผมบ่อย ๆ อาจจะทำให้เส้นผมเสียหาย ควรลดการทำสีผมหรือหยุดทำสีผม จนกว่าจะรักษาอาการผมร่วงให้หายเป็นปกติ

สรุป

การรักษาผมร่วงในปัจจุบันมีหลากหลายวิธีที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น PRP, Stem Cell หรือ Minoxidil ซึ่งการเลือกวิธีรักษาผมร่วงมีหลายราคา ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหา ความรุนแรง และงบประมาณของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และการดูแลสุขภาพเส้นผมอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว