PMS คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า กายภาพบำบัดร่างกาย บอกลาอาการปวดเมื่อย

PMS คืออะไร แก้อาการปวดเมื่อยได้จริงไหม

การทำงานหนักทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า และปวดเมื่อยตามร่างกาย การใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำอาจไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป เพราะการใช้ยาในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดังนั้น วิธีการรักษาด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ และหนึ่งในนั้นคือการใช้เทคโนโลยี PMS หรือ Peripheral Magnetic Stimulation ซึ่งเป็นนวัตกรรมการรักษาด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน

เครื่อง PMS คืออะไร อยากหายเมื่อยต้องรู้

PMS คือ เครื่องที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย โดยไม่ต้องใช้ยาหรือการผ่าตัด เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดเรื้อรัง ฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท รวมถึงกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย โดยไม่ทำให้อวัยวะโดยรอบบาดเจ็บ

หลักการทำงานของเครื่อง PMS

เครื่อง PMS ทำงานโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากระตุ้นเส้นประสาทโดยตรง เมื่อเกิดอาการปวด หรือชา กระบวนการนี้เรียกว่า Depolarization ซึ่งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในกล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับการกระตุ้น 

นอกจากนี้ คลื่นแม่เหล็กยังส่งสัญญาณไปยังสมอง กระตุ้นให้สมองฟื้นตัวและส่งสัญญาณกลับมายังบริเวณที่มีอาการ ส่งผลให้บรรเทาอาการปวด ชา และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในบริเวณที่อ่อนแรง

5 กลุ่มอาการที่เหมาะสมกับรักษาด้วยเครื่อง PMS

เครื่อง PMS รักษาอะไรได้บ้าง? โดยเครื่อง PMS บรรเทาอาการต่าง ๆ ได้มากมาย ดังนี้

1. อาการออฟฟิศซินโดรมและอาการปวดที่เกี่ยวข้อง

  • เส้นประสาท: อาการปวดที่เกิดจากการกดทับหรืออักเสบของเส้นประสาท เช่น อาการปวดชาที่แขนหรือขาจากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน
  • กล้ามเนื้อ: อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อจากท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม หรือการใช้งานซ้ำๆ เป็นเวลานาน
  • พังผืด: ความตึงตัวของเนื้อเยื่อพังผืดที่หุ้มกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดอาการปวดและจำกัดการเคลื่อนไหว
  • เอ็น: การอักเสบหรือบาดเจ็บของเอ็น เช่น เอ็นข้อมืออักเสบจากการพิมพ์งาน

ทั้งในกรณีเรื้อรังที่เป็นมานาน และกรณีเฉียบพลันที่เพิ่งเกิดขึ้น เครื่อง PMS สามารถช่วยบรรเทาอาการและฟื้นฟูการทำงานของเนื้อเยื่อได้

2. อาการทางระบบประสาท

  • อัมพฤกษ์: ภาวะที่กล้ามเนื้ออ่อนแรงบางส่วน โดยเครื่อง PMS จะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและเส้นประสาท
  • อัมพาตจาก Stroke : ภาวะที่สมองขาดเลือดทำให้เกิดอาการอัมพาต การใช้เครื่อง PMS ช่วยในการฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
  • การบาดเจ็บของไขสันหลัง: เครื่อง PMS ช่วยลดอาการปวดและฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาทที่ได้รับผลกระทบ

3. ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก

  • การเสื่อมของกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก: เครื่อง PMS ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเนื้อเยื่อรอบ ๆ
  • หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท: ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากการกดทับ
  • กระดูกสันหลังยุบตัวจนกดทับเส้นประสาท: ช่วยบรรเทาอาการปวดร้าวที่แผ่กระจายไปยังบริเวณต่าง ๆ

4. อาการเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนปลาย

  • อาการชาจากปลายประสาท: เครื่อง PMS ช่วยกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาทส่วนปลาย
  • เส้นประสาทถูกกดทับ: เช่น โรคอุโมงค์ข้อมือ เครื่อง PMS ช่วยลดการอักเสบและฟื้นฟูการทำงานของเส้นประสาท
  • อาการเส้นประสาทอักเสบ: เครื่อง PMS ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด

5. การบาดเจ็บจากสาเหตุภายนอก

  • อุบัติเหตุ: เช่น การชน หกล้ม เครื่อง PMS ช่วยลดอาการปวด บวม และฟื้นฟูการทำงานของกล้ามเนื้อ หรือเส้นประสาทที่ได้รับบาดเจ็บ
  • การเล่นกีฬา: การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เช่น กล้ามเนื้อฉีกขาด เอ็นอักเสบ เครื่อง PMS จะช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูและลดระยะเวลาในการรักษา

การรักษาด้วยเครื่อง PMS สามารถช่วยบรรเทาอาการได้หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้เครื่อง PMS สำหรับอาการเฉพาะของแต่ละบุคคล

ข้อดีของการใช้เครื่อง PMS

หลายคนที่กำลังตัดสินใจ ว่าจะรักษาด้วยเครื่องPMS ดีไหม? มาดูว่าการรักษาด้วยเครื่อง PMS มีข้อดีอย่างไรบ้าง เพื่อประกอบการตัดสินใจ ดังนี้

  • ผู้ป่วยสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังการรักษา
  • เร่งกระบวนการฟื้นตัวของระบบประสาท ทำให้การทำงานกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้น
  • ส่งเสริมการเกิด Neuroplasticity หรือความยืดหยุ่นของระบบประสาท
  • สามารถใช้ได้กับทุกระยะของโรค ไม่ว่าจะเป็นอาการเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง
  • ไม่เพียงแต่บรรเทาอาการ แต่ยังกระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่
  • ให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพแม้จำนวนครั้งในการรักษาไม่มาก

เครื่อง PMS กับการกายภาพบำบัด

การใช้เครื่อง PMS กายภาพบำบัดเป็นการผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับการรักษาแบบดั้งเดิม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายได้อย่างมาก นักกายภาพบำบัดมักใช้เครื่อง PMS รักษาอาการร่วมกับวิธีแก้แบบอื่น ๆ ดังนี้

  • การนวดบำบัด: ใช้ เครื่อง PMS ก่อนการนวดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดและลดอาการปวด
  • การออกกำลังกายเฉพาะส่วน: ใช้ เครื่อง PMS หลังการออกกำลังกายเพื่อลดการอักเสบ และเร่งการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อ
  • การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ: ใช้ เครื่อง PMS ร่วมกับการยืดเหยียดเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
  • การฝังเข็ม: ใช้ เครื่อง PMS ร่วมกับการฝังเข็มเพื่อเสริมฤทธิ์ในการบรรเทาปวด

การผสมผสานการรักษาเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และมีผลการรักษาที่ยั่งยืนกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว

ขั้นตอนในการเข้ารับการรักษาด้วยเครื่อง PMS 

การใช้เครื่อง PMS มีขั้นตอนดังนี้

  1. การวินิจฉัย: แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะตรวจประเมินอาการและกำหนดแผนการรักษา
  2. การเตรียมตัว: ผู้ป่วยนอนลงบนเตียงในท่าที่สบาย
  3. การวางขดลวด: นักกายภาพบำบัดจะวางขดลวดบนบริเวณที่ต้องการรักษา
  4. การปรับตั้งค่า: ปรับความเข้มและความถี่ของคลื่นให้เหมาะสมกับอาการของผู้ป่วย
  5. การรักษา: เครื่องจะทำงานตามเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
  6. การประเมินผล: หลังการรักษา แพทย์จะประเมินผลและปรับแผนการรักษาตามความเหมาะสม

การเตรียมตัวก่อนการรักษาเครื่อง PMS 

การเตรียมตัวที่ดีก่อนการรักษาด้วยเครื่อง PMS เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น 

  • ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษา
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่สบาย: เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและเอื้อต่อการรักษา
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันรักษา

การดูแลตัวเองหลังการรักษา

การดูแลตัวเองหลังการรักษาด้วยเครื่อง PMS ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียง 

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยในการขับสารพิษ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอหลังการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: ควรงดการออกกำลังกายหนัก ๆ ในวันที่รับการรักษา
  • สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการผิดปกติใด ๆ ควรแจ้งแพทย์ทันที
  • ทำตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

รักษาด้วยเครื่อง PMS ราคาเท่าไร รักษาที่ไหนได้บ้าง

การรักษาด้วยเครื่อง PMS ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 500-3,000 บาทต่อครั้ง แล้วเครื่อง PMS  มีที่ไหนบ้าง? ซึ่งสถานที่ให้บริการ ได้แก่ โรงพยาบาล คลินิกกายภาพบำบัด และศูนย์สุขภาพองค์รวมอย่าง Zeniq Holistic 

ข้อควรระวังในการรักษา

แม้ว่าการรักษาด้วยเครื่อง PMS จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็มีข้อควรระวัง เนื่องจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอาจทำให้เกิดความร้อนในวัตถุโลหะใกล้เคียง เพื่อความปลอดภัย กรุณาถอดเครื่องประดับและอุปกรณ์โลหะทั้งหมดก่อนเริ่มการรักษา

ข้อห้ามในการรักษา

โดยทั่วไป ข้อห้ามมีไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย เนื่องจากการใช้เครื่อง PMS  อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงในผู้ป่วยกลุ่ม ดังต่อไปนี้

ผู้ป่วยที่มีอาการลมชักมาก่อน

เครื่อง PMS ใช้แม่เหล็กไฟฟ้าในการรักษา ซึ่งอาจกระตุ้นระบบประสาทและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการชักในผู้ป่วยที่มีประวัติลมชัก สนามแม่เหล็กอาจรบกวนการทำงานของสมองและทำให้เกิดอาการชักได้ง่ายขึ้นในผู้ป่วยกลุ่มนี้

ผู้ป่วยที่มีโลหะฝังอยู่ในร่างกาย หรือมีเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย

แม่เหล็กจาก เครื่อง PMS อาจทำให้เกิดความร้อนในวัสดุโลหะที่ฝังอยู่ในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อโดยรอบ นอกจากนี้ แม่เหล็กยังอาจรบกวนการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ฝังอยู่ในร่างกาย เช่น เครื่องควบคุมการหลั่งอินซูลิน หรือเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าในสมอง เป็นต้น

ผู้ป่วยมะเร็งในระยะที่ยังทำการรักษา

การรักษาด้วยเครื่อง PMS อาจส่งผลกระทบต่อการรักษามะเร็งที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น การฉายรังสีหรือเคมีบำบัด นอกจากนี้ สนามแม่เหล็กอาจกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในบางกรณี จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยกลุ่มนี้

กลุ่มผู้ใส่สายสวนหัวใจ เพซเมกเกอร์ หรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ

อุปกรณ์เหล่านี้เป็นเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ไวต่อสนามแม่เหล็ก การใช้เครื่อง PMS อาจรบกวนการทำงานของอุปกรณ์ได้ ทำให้เกิดการทำงานผิดปกติหรือหยุดทำงาน ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อผู้ป่วยที่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์ในการควบคุมการเต้นของหัวใจ

สรุป

เครื่อง PMS หรือ Peripheral Magnetic Stimulation เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดเมื่อยและฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ด้วยข้อดีที่ไม่ต้องใช้ยาหรือการผ่าตัด ทำให้เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการรักษาแบบดั้งเดิม

อย่างไรก็ตาม การใช้เครื่อง PMS ควรอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ และควรใช้ร่วมกับการดูแลสุขภาพองค์รวม เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ