ก้าวข้ามขีดจำกัดของการปลูกผม PRP นวัตกรรมจากเลือดของคุณเอง ช่วยฟื้นฟูผมเสีย แก้ปัญหาผมบางได้อย่างตรงจุด ด้วยการกระตุ้นรากผมให้แข็งแรงขึ้น เห็นผลจริง ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลกับสารเคมีหรือการผ่าตัดอีกต่อไป แล้ว PRP คืออะไร? ทำไมถึงได้รับความนิยม? หากคุณกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาผมร่วง ผมบางที่ได้ผลจริงและปลอดภัย บทความนี้มีคำตอบให้คุณ
PRP ผม คืออะไร? เผยเคล็ดลับผมสุขภาพดี
PRP ผม คือ Platelet Rich Plasma เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาผมร่วง ผมบาง เพราะเป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องพึ่งพายาหรือสารเคมีใด ๆ เริ่มจากการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกเอาส่วนที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “เกล็ดเลือด” ซึ่งภายในเกล็ดเลือดอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูรากผม (Growth Factor) จากนั้นแพทย์จะนำเกล็ดเลือดเข้มข้นนี้มาฉีดกลับเข้าไปยังบริเวณหนังศีรษะที่ต้องการบำรุง เปรียบเสมือนการให้อาหารเสริมแก่รากผมโดยตรง ทำให้รากผมแข็งแรงขึ้น ผมงอกใหม่ได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัย เพราะใช้สารสกัดจากร่างกายของผู้ป่วยเอง จึงแทบไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ
ใครเหมาะกับการทำ PRP ผม
PRP เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มคนต่อไปนี้
- ผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผมเสียจากการทำสีผม ดัดผม หรือใช้ความร้อนบ่อย
- ผู้ที่ต้องการให้ผมหนาขึ้น แข็งแรงขึ้น
- ผู้ที่ต้องการชะลอการเกิดผมหงอก
- ผู้ที่ปลูกผมแบบอื่นแล้วไม่ได้ผล
ใครที่ไม่เหมาะกับการทำ PRP ผม
การทำ PRP ผม ถึงแม้จะเป็นวิธีรักษาที่ปลอดภัย แต่ก็มีบางกลุ่มคนที่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ดังนี้
- สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เพื่อความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก
- ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง เพราะเลือดไม่เพียงพอต่อการนำมาทำ PRP
- ผู้มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำ
- ผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือด เพราะการมีเชื้อโรคในเลือด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณที่ฉีด
- ผู้ที่มีโรคผิวหนังอักเสบหรือติดเชื้อที่หนังศีรษะ เช่น โรคเชื้อรา การทำ PRP อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น
- ผู้ใช้ยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด เพราะจะทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง อาจทำให้เกิดการตกเลือดได้
- ผู้เคยมีอาการแพ้หลังฉีด PRP ควรงดการทำ PRP
การทำ PRP ผม มีผลข้างเคียงหรือไม่
มีโอกาสเกิดอาการแพ้น้อยมาก แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้างในบางคน เช่นเดียวกับการรักษาทางการแพทย์อื่น ๆ โดยทั่วไป ดังนี้
- PRP ผมเจ็บไหม? การทำ PRP จะมีอาการเจ็บหรือบวมบริเวณที่ฉีด อาจรู้สึกเจ็บหรือบวมเล็กน้อย แต่จะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
- มีรอยช้ำที่เกิดจากการที่เข็มเจาะเข้าไปในผิวหนัง ซึ่งอาการนี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการประคบเย็น
- เกิดการติดเชื้อ แม้จะเป็นไปได้ยาก แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้หากไม่ได้ดูแลแผลอย่างถูกวิธี
- มีอาการชาที่อาจเกิดขึ้นชั่วคราวบริเวณที่ฉีด และจะหายไปเองได้ในที่สุด
หากมีอาการผิดปกติหลังการทำ PRP ผม เช่น มีไข้ แผลบวมแดง หรือมีอาการแพ้รุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล
PRP ผมกี่ครั้งเห็นผล? การทำ PRP เพื่อแก้ปัญหาผมร่วงนั้น ผลลัพธ์ที่ได้จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมและระดับความรุนแรงของปัญหา โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3-10 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลชัดเจนที่สุด ซึ่งจะเริ่มสังเกตได้ตั้งแต่ 2-3 เดือนแรก คือ ผมร่วงลดลงและมีผมใหม่งอกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอยู่กับการดูแลเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการพักผ่อนให้เพียงพอ
ข้อดีของ PRP ผม
- มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากใช้เลือดของคุณเอง จึงลดความเสี่ยงในการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียงในบางคน
- ไม่ต้องผ่าตัดและพักฟื้น เพราะหลังทำสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องรอยแผล
- ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ โดยผมที่งอกใหม่จะดูเป็นธรรมชาติและแข็งแรง
- ช่วยให้หนังศีรษะแข็งแรงขึ้น ลดปัญหาคันหนังศีรษะ
- สามารถทำร่วมกับวิธีการรักษาอื่น ๆ ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาผม
ข้อเสียของ PRP ผม
- การทำ PRP ผมเป็นการช่วยกระตุ้นให้รากผมที่มีอยู่เดิมแข็งแรงขึ้นและงอกใหม่ได้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถสร้างรากผมใหม่ในบริเวณที่ไม่มีรากผมอยู่แล้วได้
- เหมาะสำหรับผู้ที่มีรากผมหลงเหลืออยู่ เพราะจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในผู้ที่มีรากผมหลงเหลืออยู่บ้าง หากศีรษะล้านหมดแล้ว การปลูกผมอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
การเตรียมตัวก่อนทำ
เนื่องจากการทำ PRP ผมนั้นใช้เกล็ดเลือดจากตัวเราเอง การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้ได้เกล็ดเลือดที่มีคุณภาพสูง ส่งผลให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และช่วยให้เส้นผมแข็งแรงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- พักผ่อนอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยให้ร่างกายผลิตเกล็ดเลือดได้ดีขึ้น
- ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้เลือดไหลเวียนดีและลดความหนืดของเลือด
- งดอาหารที่มีไขมันสูง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ เพราะอาจส่งผลต่อคุณภาพของเลือด
- ควรสระผมให้สะอาดก่อนทำการรักษา และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น เจล น้ำมัน แว็กซ์ หรือสเปรย์ เพื่อให้หนังศีรษะสะอาด
การดูแลเส้นผมหลังทำ
แม้การทำ PRP ผมจะไม่ต้องพักฟื้นนานเหมือนการปลูกผม แต่หนังศีรษะก็ยังคงบอบบางหลังทำการรักษา อาจมีอาการช้ำบริเวณที่ฉีดได้เล็กน้อย เพื่อให้การรักษาได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลเส้นผมหลังทำ PRP ดังนี้
- 24 ชั่วโมงแรก งดสระผมด้วยแชมพู แต่สามารถล้างด้วยน้ำเปล่าได้ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก รวมถึงงดใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น สเปรย์และเจล
- 48 ชั่วโมงแรก งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- 2-3 วัน งดยาแอสไพรินและไอบูโพรเฟ่น
- ตลอดระยะเวลาการฟื้นตัว ควรหลีกเลี่ยงการเกาหรือขยี้หนังศีรษะแรง ๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- หากมีอาการปวด สามารถรับประทานยาแก้ปวดร่วมด้วยได้
เลือกทำ PRP ที่ Zeniq Holistic ดีกว่าอย่างไร
Zeniq PRP Premium โปรแกรมฟื้นฟูผิวที่ตอบโจทย์ทุกปัญหา ด้วย 2 เทคนิค
- PRP ของตนเอง: สกัดจากเลือดของผู้ป่วยเอง เพื่อการฟื้นฟูที่ตรงจุดและเป็นธรรมชาติที่สุด
- PRP Ready: PRP สำเร็จรูป ผลิตจากเกล็ดเลือดคุณภาพสูงที่เพาะจากแล็ปของทางคลินิกโดยเฉพาะ ด้วยความเข้มข้นของ Growth Factors ที่สูง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง
PRP ผมราคาเท่าไร เลือกทำที่ไหนดี? ที่ Zeniq Holistic Clinic มีโปรแกรม Zeniq PRP Premium ราคาประมาณ 15,000 บาท ที่เป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูหนังศีรษะ หรือแก้ไขปัญหาผมร่วงต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและปลอดภัย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากขึ้น หรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเลือดในร่างกาย
สรุป
PRP ผม เป็นนวัตกรรมการรักษาผมร่วงและผมบางที่ใช้เกล็ดเลือดที่อุดมด้วย Growth Factors โดยทำการฉีดเข้าบริเวณหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูรากผม ซึ่งการรักษาแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง ต้องการฟื้นฟูผมเสีย หรือต้องการให้ผมหนาขึ้น โดยทั่วไปแนะนำให้ทำ 3-10 ครั้งเพื่อเห็นผลชัดเจน และจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงภายใน 2-3 เดือนแรก ที่ Zeniq Holistic มีโปรแกรม Zeniq PRP Premium ซึ่งเป็น PRP สำเร็จรูปคุณภาพสูง โดยไม่ต้องเจาะเลือดผู้รับการรักษา ราคาประมาณ 15,000 บาท