ออฟฟิศซินโดรม มากกว่าแค่ปวดเมื่อย ภัยเงียบคุกคามคนทำงานยุคใหม่

Office Syndrome ช่วยแก้อาการอะไรได้บ้าง

การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทำงานยุคใหม่ แต่น้อยคนนักที่จะตระหนักถึงภัยเงียบที่แฝงมากับพฤติกรรมเหล่านี้ นั่นคือ “ออฟฟิศซินโดรม” (Office Syndrome) ปัญหาสุขภาพที่มากกว่าแค่อาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่เป็นภัยคุกคามที่อาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพในระยะยาว

ออฟฟิศซินโดรมคืออะไร? ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

ออฟฟิศซินโดรม หรือ Office Syndrome คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานในออฟฟิศเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ในท่าทางเดิม ๆ เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ รวมถึงระบบอื่น ๆ ในร่างกาย

ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไร

ออฟฟิศซินโดรมเกิดจากอะไร? มาดูสาเหตุหลักของออฟฟิศซินโดรมได้ ดังนี้

  • การนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • การใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดต่อกันนานเกินไป
  • สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ อุณหภูมิไม่เหมาะสม เป็นต้น
  • เฟอร์นิเจอร์สำนักงานที่ไม่ถูกหลักการยศาสตร์
  • ความเครียดจากการทำงาน

ออฟฟิศซินโดรม มีอาการอย่างไร

ออฟฟิศซินโดรมมีหลายอาการที่สังเกตได้ และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยอาการที่พบบ่อยได้แก่

  • ปวดคอ บ่า ไหล่
  • ปวดหลังส่วนบนและส่วนล่าง
  • ปวดข้อมือและนิ้วมือ
  • ตาแห้ง ตาล้า วิสัยทัศน์พร่ามัว
  • ปวดศีรษะเรื้อรัง
  • อาการชาตามแขนและมือ
  • ความเหนื่อยล้าทั่วร่างกาย
  • นอนไม่หลับหรือคุณภาพการนอนลดลง

ออฟฟิศซินโดรม มีกี่ระดับ

ออฟฟิศซินโดรม มีกี่ระดับ? ออฟฟิศซินโดรมสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้

  1. ระดับเริ่มต้น: มีอาการปวดเมื่อยเล็กน้อย แต่ยังไม่รบกวนการทำงานมากนัก
  2. ระดับปานกลาง: อาการปวดเมื่อยชัดเจนขึ้น เริ่มส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
  3. ระดับรุนแรง: อาการปวดเมื่อยรุนแรง ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่น ปลายประสาทอักเสบ หรือหมอนรองกระดูกเคลื่อน

โรคออฟฟิศซินโดรมมีอะไรบ้าง

โรคออฟฟิศซินโดรมมีอะไรบ้าง? ออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่โรคเดียว แต่เป็นกลุ่มอาการที่ประกอบด้วย โรคและความผิดปกติหลายอย่าง เช่น

  • กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเอ็น (Myofascial Pain Syndrome): ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ และหลัง
  • โรคเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ (Carpal Tunnel Syndrome): ชาและปวดบริเวณมือและนิ้ว
  • โรคข้อไหล่ติด (Frozen Shoulder): ข้อไหล่แข็ง เคลื่อนไหวลำบาก
  • โรคปวดหลังส่วนล่าง (Low Back Pain): ปวดหลังส่วนล่างเรื้อรัง
  • ภาวะปวดคอเรื้อรัง (Chronic Neck Pain): ปวดคอเรื้อรัง อาจร้าวไปที่ศีรษะหรือไหล่
  • โรคตาแห้ง (Dry Eye Syndrome): ตาแห้ง แสบตา มองเห็นไม่ชัด
  • ภาวะนิ้วล็อค (Trigger Finger): นิ้วมือติดขัด งอหรือเหยียดลำบาก

ใครเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรมบ้าง

แม้ว่าชื่อ “ออฟฟิศซินโดรม” จะดูเหมือนเป็นปัญหาเฉพาะของคนทำงานออฟฟิศ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใครก็ตามที่มีลักษณะการทำงานหรือการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการเหล่านี้ก็มีโอกาสเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมได้ทั้งสิ้น ซึ่งกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสเป็นโรคนี้ ได้แก่

  • พนักงานออฟฟิศ: กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเสี่ยงหลักเนื่องจากต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
  • นักเรียน นักศึกษา: การนั่งเรียนหรือทำการบ้านเป็นเวลานาน รวมถึงการใช้คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนมากเกินไป ทำให้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูง
  • ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (Freelancer): โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านดิจิทัล เช่น นักเขียน นักออกแบบกราฟิก โปรแกรมเมอร์ ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
  • พนักงานคอลเซ็นเตอร์: ลักษณะงานที่ต้องนั่งโทรศัพท์และใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการ
  • ผู้ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม: การทำงานในท่าทางซ้ำ ๆ เป็นเวลานานอาจนำไปสู่อาการคล้ายกับออฟฟิศซินโดรมได้
  • นักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชี: ต้องทำงานกับตัวเลขและเอกสารเป็นเวลานาน มักนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน
  • ผู้ที่ใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตมากเกินไป: การก้มมองหน้าจออุปกรณ์พกพาเป็นเวลานานอาจนำไปสู่อาการปวดคอและไหล่
  • คนขับรถเป็นอาชีพ: เช่น แท็กซี่ รถบรรทุก ที่ต้องนั่งในท่าเดียวเป็นเวลานาน
  • ผู้สูงอายุ: แม้ไม่ได้ทำงานออฟฟิศ แต่ความเสื่อมของร่างกายตามวัยอาจทำให้เกิดอาการคล้ายออฟฟิศซินโดรมได้ง่าย
  • ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน: น้ำหนักตัวที่มากเกินไปอาจสร้างแรงกดทับให้กับกระดูกสันหลังและข้อต่อ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอาการได้ง่าย

ผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต

ออฟฟิศซินโดรมไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตโดยรวม ดังนี้

  • ประสิทธิภาพการทำงานลดลง: อาการปวดเมื่อยทำให้สมาธิและประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
  • คุณภาพชีวิตแย่ลง: ความเจ็บปวดส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมที่ชื่นชอบได้
  • ปัญหาสุขภาพจิต: ความเจ็บปวดเรื้อรังอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น: การรักษาอาการต่าง ๆ อาจทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์เพิ่มขึ้น
  • ผลกระทบต่อความสัมพันธ์: อาการเจ็บป่วยอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

วิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรม

การป้องกันออฟฟิศซินโดรมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทำงานยุคใหม่ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

  • จัดท่าทางการทำงานให้ถูกต้อง: นั่งตัวตรง หลังพิงพนักเก้าอี้ เท้าวางราบกับพื้น
  • ใช้อุปกรณ์ที่ถูกหลักการยศาสตร์: เลือกใช้เก้าอี้ โต๊ะ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงของออฟฟิศซินโดรม
  • พักสายตาและร่างกายเป็นระยะ: ใช้กฎ 20-20-20 คือทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: เน้นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง
  • จัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม: ปรับแสงสว่าง อุณหภูมิ และการระบายอากาศให้เหมาะสม
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยลดอาการปวดเมื่อยและบำรุงสุขภาพตา
  • จัดการความเครียด: ฝึกเทคนิคผ่อนคลายความเครียด เช่น การหายใจลึก ๆ หรือการทำสมาธิ

7 วิธีแก้อาการออฟฟิศซินโดรม

สำหรับผู้ที่เริ่มมีอาการของออฟฟิศซินโดรม มีวิธีแก้ได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

1. การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ

ทำท่ายืดเหยียดง่าย ๆ ระหว่างวัน เช่น การหมุนคอ ยืดไหล่ หรือบิดเอว โดยการใช้เทคนิค “20-20-20” คือทุก 20 นาที มองไกล 20 ฟุต นาน 20 วินาที เพื่อลดความเมื่อยล้าของดวงตา 

2. การนวดและการประคบ

นวดบริเวณที่ปวดเมื่อยเบา ๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ด้วยการใช้ลูกบอลนวดกดจุดบริเวณที่ตึงเครียดสลับการประคบร้อนและเย็นเพื่อลดอาการปวดและอักเสบ โดยประคบเย็น 15 นาที ตามด้วยประคบร้อน 15 นาที

3. การปรับท่าทางการทำงาน

นั่งให้หลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย เท้าวางราบกับพื้น ปรับความสูงของจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา และใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงรองรับหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ หากต้องพิมพ์งานเป็นเวลานาน ให้ใช้ที่รองข้อมือเพื่อลดแรงกดทับได้

4. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

เน้นการออกกำลังกายที่เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core muscles) สามารถทำกิจกรรมแบบแอโรบิกได้ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์

5. การใช้ยาบรรเทาปวด

ใช้ยาทาหรือรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์ อาจจะเป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและอักเสบได้ ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาให้ยาคลายกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการเกร็ง

6. การใช้อุปกรณ์เสริม

ใช้เบาะรองหลังเพื่อรักษาความโค้งตามธรรมชาติของกระดูกสันหลัง และใช้ที่วางเท้าเพื่อให้เข่างอทำมุม 90 องศา อาจจะใช้โต๊ะทำงานแบบยืนได้ (Standing desk) เพื่อสลับอิริยาบถระหว่างวัน

7. การจัดการความเครียด

ฝึกเทคนิคการหายใจลึก ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และทำสมาธิหรือฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อแบบก้าวหน้า (Progressive muscle relaxation) นอกจากนี้ ควรหาเวลาพักผ่อนและทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือทำงานอดิเรก เป็นต้น

การกายภาพบำบัด สามารถทำได้อย่างไร

การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับออฟฟิศซินโดรม โดยนักกายภาพบำบัดจะประเมินอาการและออกแบบโปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล 

  • การบำบัดด้วยความร้อนหรือความเย็น: เพื่อลดอาการปวดและอักเสบ
  • การนวดบำบัด: ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียด
  • การฝึกความแข็งแรงและความยืดหยุ่น: เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
  • การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด: เช่น อัลตราซาวนด์ หรือการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า เป็นต้น
  • การสอนท่าทางที่ถูกต้อง: แนะนำวิธีการนั่ง ยืน และเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง 
  • การให้คำแนะนำในการปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน: เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอาการซ้ำ

สามารถรักษาหายหรือไม่

คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “ออฟฟิศซินโดรม รักษาหายไหม?” คำตอบคือ ออฟฟิศซินโดรมสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่การ “หาย” ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้

  • ความรุนแรงของอาการ: อาการเบาถึงปานกลางมีโอกาสหายได้ดีกว่าอาการรุนแรง
  • ระยะเวลาที่เป็น: การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการจะให้ผลดีกว่าปล่อยไว้นาน
  • ความร่วมมือในการรักษา: ผู้ป่วยที่ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดมีโอกาสหายดีกว่า
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: การเปลี่ยนแปลงนิสัยการทำงานและการใช้ชีวิตเป็นกุญแจสำคัญสู่การหาย
  • การรักษาอย่างต่อเนื่อง: การรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น

แม้ว่าออฟฟิศซินโดรมจะสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่การป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ป่วยต้องระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันอย่างต่อเนื่อง

ออฟฟิศซินโดรมรักษาที่ไหนดี

การเลือกสถานที่รักษาออฟฟิศซินโดรมที่ไหนดี? ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และความสะดวกของผู้ป่วย ทั้งนี้ควรพิจารณาจากความเชี่ยวชาญของบุคลากรทางการแพทย์ ความพร้อมของเครื่องมือและอุปกรณ์ อย่าง Zeniq Holistic Clinic ที่นำเสนอการรักษาแบบองค์รวม ผสมผสานศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันกับการแพทย์ทางเลือก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแนวทางการรักษาที่ครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ

  • การรักษาแบบบูรณาการ: ผสมผสานการแพทย์แผนปัจจุบันกับการแพทย์ทางเลือก เช่น การฝังเข็ม 
  • ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: มีทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขาที่ร่วมกันวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
  • เทคโนโลยีทันสมัย: ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีล่าสุดในการวินิจฉัยและรักษา
  • การดูแลแบบองค์รวม: ไม่เพียงแต่รักษาอาการทางกาย แต่ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วย
  • โปรแกรมการรักษาเฉพาะบุคคล: ออกแบบแผนการรักษาให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้ชีวิตและความต้องการของแต่ละบุคคล

สรุป

ออฟฟิศซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่คุกคามคนทำงานยุคใหม่อย่างเงียบ ๆ แต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพการทำงาน การตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ และการปฏิบัติตามวิธีป้องกันและรักษาอย่างจริงจัง จะช่วยให้คนทำงานมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น

การป้องกันและรักษาออฟฟิศซินโดรมไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอ เริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การยืดเหยียดร่างกายทุกชั่วโมง การปรับท่านั่งให้ถูกต้อง หรือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ