สเต็มเซลล์ (Stem Cell) คืออะไร มีประโยชน์ ข้อดี ข้อเสียอย่างไรบ้าง?

Stemcell คืออะไร ช่วยเรื่องอะไร

สเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยในวงการความงามและการแพทย์ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าสเต็มเซลล์คืออะไร และทำไมมันถึงมีความสำคัญต่อผิวพรรณของเรา? บทความนี้จะพาคุณไปไขความลับของสเต็มเซลล์ และเผยเคล็ดลับการดูแลผิวด้วยสเต็มเซลล์ให้สวยใส อ่อนเยาว์ อย่างที่ไม่เคยรู้มาก่อน!

สเต็มเซลล์คืออะไร? เคล็ดลับความอ่อนเยาว์ที่ซ่อนอยู่ในเซลล์

สเต็มเซลล์ หรือ Stem Cell คือเซลล์ต้นกำเนิดที่มีความสามารถพิเศษในการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ในร่างกายได้ เรียกได้ว่าเป็น เซลล์ที่มีบทบาทสำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในร่างกายของเรา

สเต็มเซลล์มีคุณสมบัติพิเศษ 2 ประการ คือ

  1. สามารถแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนได้อย่างไม่จำกัด
  2. สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของร่างกาย

ด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ สเต็มเซลล์จึงถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์และความงามอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคและการฟื้นฟูผิวพรรณ

ทำไมจึงเป็นที่นิยมในเกาหลี

เกาหลีเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านความงามและการศัลยกรรม การฉีดสเต็มเซลล์ในเกาหลีได้รับความนิยมเนื่องจากมีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสเต็มเซลล์อย่างต่อเนื่อง ใช้อุปกรณ์และเครื่องมือที่ทันสมัยในการรักษา อีกทั้งยังมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสเต็มเซลล์ แม้ราคาจะสูง แต่คุณภาพการรักษาและผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าเกาหลีเลย ด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์และเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยมีคลินิกและโรงพยาบาลที่ให้บริการฉีดสเต็มเซลล์มาตรฐานสากล มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สูง และใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยไม่แพ้ต่างประเทศ ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ได้ง่ายขึ้น และในราคาที่อาจจะเอื้อมถึงได้มากกว่า

เซลล์ที่ปฏิวัติวงการความงาม มีกี่ประเภท

สเต็มเซลล์มีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้ในวงการความงามมี 3 ประเภทหลัก คือ

  • สเต็มเซลล์จากตัวอ่อน (Embryonic Stem Cells): เป็นสเต็มเซลล์ที่ได้จากตัวอ่อนระยะแรก มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ได้มากที่สุด
  • สเต็มเซลล์จากผู้ใหญ่ (Adult Stem Cells): พบได้ในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายผู้ใหญ่ เช่น ไขกระดูก ผิวหนัง และเนื้อเยื่อไขมัน
  • สเต็มเซลล์จากรก (Placental Stem Cells): ได้จากรกหลังคลอด มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงสูงและมีความปลอดภัยในการใช้งาน

ฟื้นฟูผิวให้กลับมามีชีวิตชีวา ด้วยประโยชน์ของ Stem Cell

ในวงการความงาม สเต็มเซลล์ถูกนำมาใช้ในการฟื้นฟูและบำรุงผิวอย่างได้ผล เนื่องจากคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวเต่งตึง ยืดหยุ่น และดูอ่อนเยาว์ โดยประโยชน์ของ Stem Cell เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาดังต่อไปนี้

ประโยชน์ของสเต็มเซลล์
ประโยชน์ของสเต็มเซลล์2
  • ผู้ที่มีริ้วรอยและร่องลึก: สเต็มเซลล์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวเต่งตึงขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย: ด้วยคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิว สเต็มเซลล์สามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ: สเต็มเซลล์ช่วยปรับสภาพผิวให้สม่ำเสมอ ลดเลือนจุดด่างดำและรอยสีผิวที่ไม่เท่ากัน
  • ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น: สเต็มเซลล์ช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำของผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ลดปัญหาผิวแห้งกร้าน
  • ผู้ที่มีรอยแผลเป็นหรือรอยหลุมสิว: สเต็มเซลล์สามารถช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแผลเป็นหรือรอยหลุมสิว ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวจากความเสียหายของแสงแดด: สเต็มเซลล์มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดดและมลภาวะ
  • ผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปและต้องการชะลอวัย: แม้ว่าสเต็มเซลล์จะใช้ได้กับทุกวัย แต่มักแนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ผิวเริ่มมีสัญญาณของความเสื่อม

วิธีการใช้สเต็มเซลล์เพื่อความงาม

การใช้สเต็มเซลล์เพื่อความงามมีหลายวิธี แต่ที่นิยมมี 2 วิธีหลัก คือ

วิธีการใช้สเต็มเซลล์เพื่อความงาม

1. การฉีดสเต็มเซลล์หน้า

การฉีดสเต็มเซลล์หน้าใส หน้าเด็กเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเห็นผลเร็วและมีประสิทธิภาพสูง วิธีนี้แพทย์จะฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง ทำให้สเต็มเซลล์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2. การดริปสเต็มเซลล์

การดริปสเต็มเซลล์เป็นวิธีที่ให้สเต็มเซลล์ผ่านทางเส้นเลือด ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูร่างกายโดยรวม รวมถึงผิวพรรณด้วย วิธีนี้จะให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพโดยรวมและความงามจากภายในสู่ภายนอก

ข้อดีและข้อเสียของสเต็มเซลล์

ข้อดีและข้อเสียของสเต็มเซลล์เป็นหัวข้อที่สำคัญที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้บริการ 

ข้อดีของสเต็มเซลล์

  • ฟื้นฟูผิวได้อย่างล้ำลึก: กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • ผลลัพธ์ที่ยาวนาน: ผลการรักษาด้วยสเต็มเซลล์มักจะอยู่ได้นานกว่าการรักษาแบบอื่น ๆ
  • ใช้ได้กับหลายส่วนของร่างกาย: นอกจากใบหน้า ยังสามารถใช้กับส่วนอื่น ๆ เช่น ผม ข้อเข่า หรือแม้แต่อวัยวะภายใน
  • เป็นวิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติ: ไม่มีการใช้สารเคมีหรือสารสังเคราะห์ที่อาจเป็นอันตราย

ข้อเสียของสเต็มเซลล์

  • ค่าใช้จ่ายสูง: การรักษาด้วยสเต็มเซลล์มีราคาค่อนข้างแพง
  • ต้องใช้เวลาในการรักษาและฟื้นตัว: หลังฉีดสเต็มเซลล์อาจต้องงดกิจกรรมบางอย่างในช่วงแรกหลังการรักษา
  • ต้องการความเชี่ยวชาญสูง: การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • อาจไม่เหมาะกับทุกคน: ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่างอาจไม่สามารถใช้การรักษานี้ได้

ราคาของการทำสเต็มเซลล์ 

ราคาการทำสเต็มเซลล์จะแตกต่างกันไปตามวิธีการและสถานที่ให้บริการ โดยทั่วไปมีราคาดังนี้

ฉีดสเต็มเซลล์หน้าใส

ฉีดสเต็มเซลล์หน้าใส ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท/1 ล้านเซลล์ อาจต้องทำซ้ำ 3-5 ครั้งเพื่อเห็นผลชัดเจน ทั้งนี้ราคาอาจสูงขึ้นหากใช้สเต็มเซลล์คุณภาพสูงหรือเทคโนโลยีพิเศษ  จำนวนเซลล์จะประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ดริปสเต็มเซลล์

เริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท/1 ล้านเซลล์ ควรทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อคอร์ส ซึ่งราคาอาจแตกต่างกันตามชนิดและปริมาณของสเต็มเซลล์ที่ใช้  จำนวนเซลล์จะประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ฉีดสเต็มเซลล์ข้อเข่า

ฉีดสเต็มเซลล์ข้อเข่า ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท/1 ล้านเซลล์ อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง เพื่อสร้างเสริมเซลล์เส้นผมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ   จำนวนเซลล์จะประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ฉีดสเต็มเซลล์ผม

ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท/1 ล้านเซลล์ อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละบุคคล  จำนวนเซลล์จะประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ฉีดสเต็มเซลล์ที่ไหนดี? ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจ

การฉีดสเต็มเซลล์ค่อนข้างซับซ้อนและมีความสำคัญมาก ดังนั้น การเลือกว่าจะฉีดสเต็มเซลล์ที่ไหนดี จึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย

  • ความเชี่ยวชาญของแพทย์: คลินิกควรมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสเต็มเซลล์โดยเฉพาะ
  • มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย: อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงและฉีดสเต็มเซลล์ควรทันสมัยและได้มาตรฐาน
  • มีรีวิวและประสบการณ์: มีประวัติการรักษาผู้ป่วยด้วยสเต็มเซลล์ที่น่าเชื่อถือ
  • ใบอนุญาต: มีใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง

แนวทางดูแลตัวเองเพื่อผลลัพธ์ที่ดี

การเตรียมตัวที่ดีและการดูแลหลังการรักษาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษา และลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

การดูแลตัวเองก่อนการฉีดสเต็มเซลล์

การดูแลตัวเองก่อนใช้สเต็มเซลล์

  • ปรึกษาแพทย์: พูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ การแพ้ยา 
  • หยุดยาและอาหารเสริมบางชนิด: ควรหยุดการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) วิตามินอี และอาหารเสริมบางชนิดที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการทำทรีตเมนต์
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์: งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการทำทรีตเมนต์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • งดสูบบุหรี่: หยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการทำทรีตเมนต์ เนื่องจากการสูบบุหรี่อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของผิว
  • หลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้า: งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรด หรือการขัดผิวอย่างรุนแรงอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการทำทรีตเมนต์
  • หลีกเลี่ยงแสงแดด: ลดการสัมผัสแสงแดดโดยตรงและใช้ครีมกันแดดเป็นประจำอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการทำทรีตเมนต์

การดูแลตัวเองหลังใช้สเต็มเซลล์

  • ประคบเย็น: ใช้ถุงน้ำแข็ง หรือผ้าเย็นประคบบริเวณที่ฉีดเพื่อลดอาการบวมและรอยช้ำ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้า: พยายามไม่แตะต้อง หรือนวดบริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงหลังการทำทรีตเมนต์
  • นอนหงาย: ในคืนแรกหลังการทำทรีตเมนต์ ควรนอนหงายและยกศีรษะให้สูงกว่าหัวใจเล็กน้อยเพื่อลดอาการบวม
  • ทาครีมกันแดด: ทาครีมกันแดดที่มี SPF สูงทุกครั้งที่ออกจากบ้าน เพื่อป้องกันผิวที่อ่อนไหวหลังการทำทรีตเมนต์
  • รักษาความชุ่มชื้น: ใช้ครีมบำรุงผิวที่อ่อนโยนและไม่มีส่วนผสมที่ระคายเคืองเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้ผิว
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการอาบน้ำร้อน ซาวน่า หรือการใช้ความร้อนบริเวณใบหน้าเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
  • ดื่มน้ำมาก ๆ : ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยในการขับสารพิษและรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

เปรียบเทียบ สเต็มเซลล์ VS. วิธีการดูแลผิวแบบอื่นๆ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น มาเปรียบเทียบการใช้สเต็มเซลล์กับวิธีการดูแลผิวแบบอื่น ๆ กัน

สเต็มเซลล์ VS. โบท็อกซ์

  • สเต็มเซลล์: ฟื้นฟูผิวจากภายใน ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
  • โบท็อกซ์: ลดเลือนริ้วรอยโดยการทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ผลลัพธ์เห็นชัดเร็วกว่า

สเต็มเซลล์ VS. เลเซอร์

  • สเต็มเซลล์: ฟื้นฟูเซลล์ผิว เหมาะสำหรับการบำรุงระยะยาว
  • เลเซอร์: แก้ไขปัญหาผิวเฉพาะจุด เช่น รอยดำ รอยแผลเป็น

สเต็มเซลล์ VS. ฟิลเลอร์

  • สเต็มเซลล์: เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้ผิว
  • ฟิลเลอร์: เติมเต็มร่องลึกและเพิ่มปริมาตรให้ใบหน้า

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ (FAQ)

Q: สเต็มเซลล์ปลอดภัยหรือไม่?

A: สเต็มเซลล์ที่ได้รับการรับรองและใช้โดยผู้เชี่ยวชาญมีความปลอดภัยสูง แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการรักษาเสมอ

Q: ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์อยู่ได้นานแค่ไหน?

A: โดยทั่วไปผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและการดูแลผิวหลังการรักษา

Q: อายุเท่าไหร่ถึงเหมาะสมที่จะเริ่มใช้สเต็มเซลล์?

A: ไม่มีอายุที่เหมาะสมตายตัว แต่โดยทั่วไปมักแนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือเมื่อเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของริ้วรอย

Q: สเต็มเซลล์สามารถรักษาสิวได้หรือไม่?

A: แม้ว่าสเต็มเซลล์จะไม่ได้เป็นการรักษาสิวโดยตรง แต่สามารถช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากสิวและลดการอักเสบได้

Q: ควรทำสเต็มเซลล์บ่อยแค่ไหน?

A: ความถี่ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปอาจทำทุก 6-12 เดือน

สรุป

สเต็มเซลล์เป็นนวัตกรรมความงามที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูผิวพรรณ ด้วยคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน สเต็มเซลล์จึงช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เต่งตึง และมีสุขภาพดี

อย่างไรก็ตาม การใช้สเต็มเซลล์เพื่อความงามควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสภาพผิว และสุขภาพของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ การดูแลผิวพื้นฐานที่ดี เช่น การทำความสะอาดผิว การใช้ครีมกันแดด และการบำรุงผิวเป็นประจำ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม