Biostimulator คืออะไร? เคล็ดลับกระตุ้นคอลลาเจน ดูแลผิวให้สวยใส 

Biostimulator คืออะไร กระตุ้นคอลลาเจนได้อย่างไร

ในยุคที่ความงามเป็นเรื่องสำคัญและเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การดูแลผิวก็ก้าวตามไปอย่างไม่หยุดยั้ง หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในวงการความงาม คือ Biostimulator ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี อ่อนเยาว์ และเต่งตึงได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

แล้ว Biostimulator คืออะไร ต่างจากฟิลเลอร์หรือไม่ เติมเต็มผิวให้ฟู กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างไร มาไขข้อสงสัยได้ในบทความนี้

Biostimulator คืออะไร? สารกระตุ้นคอลลาเจนที่คุณต้องรู้

Biostimulator เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดพิเศษที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว โดยทำงานด้วยกลไกที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป แทนที่จะเติมเต็มเพียงอย่างเดียว Biostimulator จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งกลไกการทำงานของ Biostimulator จะมีดังนี้

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
  2. เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
  3. ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง
  4. ฟื้นฟูความชุ่มชื้น
  5. ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน

Biostimulator VS. Filler แตกต่างกันอย่างไร

Biostimulator VS. Filler อะไรดีกว่ากัน? ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสารที่ใช้ในการเสริมความงามและฟื้นฟูผิวพรรณ แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

กลไกการทำงาน 

Biostimulator และ Filler มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Biostimulator จะทำหน้าที่เสมือนตัวกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูและกระชับขึ้น 

ในขณะที่ Filler เป็นการเติมเต็มด้วยสารที่มีความหนืดเข้าไปในชั้นผิวโดยตรง ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่ต้องการทันที

ระยะเวลาที่เห็นผล 

เรื่องของระยะเวลาในการเห็นผลนั้นมีความแตกต่างกัน โดยการฉีด Biostimulator จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากต้องรอให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ 

ส่วน Filler นั้นจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังการฉีด เพราะเป็นการเติมสารเติมเต็ม (Hyaluronic acid) เข้าไปโดยตรง

ความคงอยู่ของผลลัพธ์ 

ในแง่ของความคงทนของผลลัพธ์ Biostimulator มีข้อได้เปรียบที่สามารถอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเอง 

ในขณะที่ Filler จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่ใช้และตำแหน่งที่ฉีด

บริเวณที่ฉีด

การเลือกตำแหน่งในการรักษาก็มีความสำคัญ โดย Biostimulator เหมาะสำหรับการรักษาในพื้นที่กว้างทั่วใบหน้า โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องการเพิ่มความกระชับและความหนาแน่นของผิว 

ส่วน Filler จะเหมาะกับการเติมเต็มในจุดเฉพาะ เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก หรือบริเวณที่ต้องการเพิ่มปริมาตรอย่างชัดเจน

การแก้ปัญหา 

Biostimulator จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการปรับโครงหน้าในระยะยาว รวมถึงผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ 

ในขณะที่ Filler จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขจุดบกพร่องเฉพาะจุดและต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

ข้อควรระวัง 

ในการทำทั้งสองวิธีมีข้อควรระวังที่แตกต่างกัน สำหรับ Biostimulator ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ที่มีการอักเสบของผิวหนัง 

ส่วน Filler ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การอุดตันของเส้นเลือด หรือการแพ้สารที่ใช้ ดังนั้น การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการประเมินความเหมาะสมก่อนทำ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

Biostimulator เหมาะกับใคร

Biostimulator เป็นนวัตกรรมการฉีดสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก 

  • ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มและใต้ตา
  • ผู้ที่ผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
  • ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน
  • ผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไปที่ต้องการชะลอความเสื่อมของผิว

Biostimulator ไม่เหมาะกับใคร

ถึงแม้ Biostimulator จะเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลผิวหน้า แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่มคนที่ไม่ควรทำ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา

  • สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาผลกระทบที่ชัดเจน
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
  • ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจส่งผลต่อการตอบสนองของร่างกาย
  • ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด

คัดมาแล้ว! Biostimulator ที่นิยมในปัจจุบัน

Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความงาม ซึ่งมีมากมายให้เลือกในปัจจุบัน ดังนี้

1. Sculptra (สกัลป์ทรา)

Sculptra เป็น Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งทำงานด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี ซึ่งจะโดดเด่นในการเพิ่มความหนาแน่นของผิวและยกกระชับใบหน้า 

เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือต้องการเพิ่มปริมาตรใบหน้า ด้วยคุณสมบัติที่ให้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่จำเป็นต้องหยุดพักงานหลังการรักษา

2. Radiesse (เรเดียสซ์)

Radiesse คือ Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ในรูปแบบเจลที่มีอนุภาคแคลเซียมผสม มีความพิเศษที่สามารถให้ผลลัพธ์การเติมเต็มได้ทันทีหลังฉีด พร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการแก้ไขร่องแก้มลึกและเพิ่มปริมาตรบริเวณโหนกแก้ม 

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังการฉีด โดยยังคงความเป็นธรรมชาติและได้ประโยชน์จากการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว

3. Juvelook (จูวีลุค)

Juvelook มีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว สามารถเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอย พร้อมทั้งปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 12 เดือน 

เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้ Biostimulator หรือต้องการแก้ไขริ้วรอยตื้น ๆ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโยนและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลผิวด้วย Biostimulator Injections

ทั้งนี้ การเลือกใช้ Biostimulator ชนิดใดนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนการรักษาทุกครั้ง 

ข้อดีของการฉีด Biostimulator

Biostimulator มีจุดเด่นที่แตกต่างจากการรักษาความงามแบบอื่น ๆ ด้วยกลไกการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย

  • ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งหรือผิดธรรมชาติ
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
  • ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก FDA
  • สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้

ข้อจำกัดของการฉีด Biostimulator

ก่อนตัดสินใจทำ Biostimulator ควรทราบถึงข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อประเมินความเหมาะสมและตั้งความคาดหวังได้อย่างถูกต้อง

  • ใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน
  • อาจเกิดอาการบวมและช้ำในช่วงแรก แต่ก็จะสามารถหายเองได้ในเวลาไม่นาน
  • ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าทุกจุดได้ในครั้งเดียว จำเป็นต้องอาศัยความสม่ำเสมอ เหมือนกับการรักษารูปแบบอื่น ๆ และต้องทำซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์

ฉีดแล้วอยู่ได้นานไหม

การฉีด Biostimulator จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ 2-3 เดือนหลังการรักษา และผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย  ๆ จนถึง 6 เดือน โดยสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ สภาพผิว พฤติกรรมการดูแลผิว และการป้องกันแสงแดด เป็นต้น

การเตรียมตัวก่อนฉีด 

การเตรียมตัวที่ดีก่อนฉีด Biostimulator จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยสามารถทำได้ ดังนี้

  • งดการใช้ยาละลายลิ่มเลือดอย่างน้อย 7 วัน
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
  • งดการรับประทานอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
  • ทำความสะอาดหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้ามา
  • แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา

การดูแลตัวเองหลังฉีด 

การดูแลตัวเองที่ดีหลังการฉีด Biostimulator จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยสามารถทำได้ ดังนี้

  • ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมประมาณ 24-48 ชั่วโมงแรก
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการนวดใบหน้า เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักประมาณ 24-48 ชั่วโมง
  • ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ ทุกวัน
  • งดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์

ฉีด Biostimulator พร้อมทำหัตถการอื่นได้หรือไม่

Biostimulator สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่นได้ เช่น โบท็อกซ์ หรือเลเซอร์ เป็นต้น แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และเว้นระยะเวลาระหว่างการทำแต่ละหัตถการให้เพียงพอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย

สรุป

Biostimulator เป็นนวัตกรรมการรักษาความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยกลไกการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มและใต้ตา ซึ่งข้อดีที่สำคัญของ Biostimulator สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้ 

อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษา รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ครีมกันแดด ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยาวนานที่สุด อาจจำเป็นต้องทำการรักษาซ้ำตามแผนการรักษาที่แพทย์แนะนำ