ในยุคที่ความงามเป็นเรื่องสำคัญและเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การดูแลผิวก็ก้าวตามไปอย่างไม่หยุดยั้ง หนึ่งในนวัตกรรมที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในวงการความงาม คือ Biostimulator ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินในผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี อ่อนเยาว์ และเต่งตึงได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แล้ว Biostimulator คืออะไร ต่างจากฟิลเลอร์หรือไม่ เติมเต็มผิวให้ฟู กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างไร มาไขข้อสงสัยได้ในบทความนี้
Biostimulator คืออะไร? สารกระตุ้นคอลลาเจนที่คุณต้องรู้
Biostimulator เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดพิเศษที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว โดยทำงานด้วยกลไกที่แตกต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป แทนที่จะเติมเต็มเพียงอย่างเดียว Biostimulator จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งกลไกการทำงานของ Biostimulator จะมีดังนี้
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว
- ปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรง
- ฟื้นฟูความชุ่มชื้น
- ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยาวนาน
Biostimulator VS. Filler แตกต่างกันอย่างไร
Biostimulator VS. Filler อะไรดีกว่ากัน? ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้เป็นสารที่ใช้ในการเสริมความงามและฟื้นฟูผิวพรรณ แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้
กลไกการทำงาน
Biostimulator และ Filler มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดย Biostimulator จะทำหน้าที่เสมือนตัวกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ ส่งผลให้ผิวค่อย ๆ ฟื้นฟูและกระชับขึ้น
ในขณะที่ Filler เป็นการเติมเต็มด้วยสารที่มีความหนืดเข้าไปในชั้นผิวโดยตรง ทำให้เกิดการเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่ต้องการทันที
ระยะเวลาที่เห็นผล
เรื่องของระยะเวลาในการเห็นผลนั้นมีความแตกต่างกัน โดยการฉีด Biostimulator จำเป็นต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากต้องรอให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่
ส่วน Filler นั้นจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังการฉีด เพราะเป็นการเติมสารเติมเต็ม (Hyaluronic acid) เข้าไปโดยตรง
ความคงอยู่ของผลลัพธ์
ในแง่ของความคงทนของผลลัพธ์ Biostimulator มีข้อได้เปรียบที่สามารถอยู่ได้นานถึง 18-24 เดือน เนื่องจากเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเอง
ในขณะที่ Filler จะอยู่ได้ประมาณ 6-18 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่ใช้และตำแหน่งที่ฉีด
บริเวณที่ฉีด
การเลือกตำแหน่งในการรักษาก็มีความสำคัญ โดย Biostimulator เหมาะสำหรับการรักษาในพื้นที่กว้างทั่วใบหน้า โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องการเพิ่มความกระชับและความหนาแน่นของผิว
ส่วน Filler จะเหมาะกับการเติมเต็มในจุดเฉพาะ เช่น ร่องแก้ม ริมฝีปาก หรือบริเวณที่ต้องการเพิ่มปริมาตรอย่างชัดเจน
การแก้ปัญหา
Biostimulator จะเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยและต้องการปรับโครงหน้าในระยะยาว รวมถึงผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
ในขณะที่ Filler จะเหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขจุดบกพร่องเฉพาะจุดและต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
ข้อควรระวัง
ในการทำทั้งสองวิธีมีข้อควรระวังที่แตกต่างกัน สำหรับ Biostimulator ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในผู้ที่มีการอักเสบของผิวหนัง
ส่วน Filler ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น การอุดตันของเส้นเลือด หรือการแพ้สารที่ใช้ ดังนั้น การเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการประเมินความเหมาะสมก่อนทำ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
Biostimulator เหมาะกับใคร
Biostimulator เป็นนวัตกรรมการฉีดสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
- ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มและใต้ตา
- ผู้ที่ผิวหน้าหย่อนคล้อย ขาดความกระชับ
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน
- ผู้ที่อายุ 25 ปีขึ้นไปที่ต้องการชะลอความเสื่อมของผิว
Biostimulator ไม่เหมาะกับใคร
ถึงแม้ Biostimulator จะเป็นทางเลือกที่ดีในการดูแลผิวหน้า แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับบางกลุ่มคนที่ไม่ควรทำ เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการรักษา
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาผลกระทบที่ชัดเจน
- ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะทำการรักษา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
- ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจส่งผลต่อการตอบสนองของร่างกาย
- ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือรับประทานยาละลายลิ่มเลือด
คัดมาแล้ว! Biostimulator ที่นิยมในปัจจุบัน
Biostimulator หรือสารกระตุ้นคอลลาเจน เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความงาม ซึ่งมีมากมายให้เลือกในปัจจุบัน ดังนี้
1. Sculptra (สกัลป์ทรา)
Sculptra เป็น Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ Poly-L-lactic acid (PLLA) ซึ่งทำงานด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิว ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานถึง 2-3 ปี ซึ่งจะโดดเด่นในการเพิ่มความหนาแน่นของผิวและยกกระชับใบหน้า
เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือต้องการเพิ่มปริมาตรใบหน้า ด้วยคุณสมบัติที่ให้ผลลัพธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ดูเป็นธรรมชาติ และไม่จำเป็นต้องหยุดพักงานหลังการรักษา
2. Radiesse (เรเดียสซ์)
Radiesse คือ Biostimulator ที่มีส่วนประกอบของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) ในรูปแบบเจลที่มีอนุภาคแคลเซียมผสม มีความพิเศษที่สามารถให้ผลลัพธ์การเติมเต็มได้ทันทีหลังฉีด พร้อมกับกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว โดยผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการแก้ไขร่องแก้มลึกและเพิ่มปริมาตรบริเวณโหนกแก้ม
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังการฉีด โดยยังคงความเป็นธรรมชาติและได้ประโยชน์จากการกระตุ้นคอลลาเจนในระยะยาว
3. Juvelook (จูวีลุค)
Juvelook มีส่วนประกอบหลักเป็น Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว สามารถเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอย พร้อมทั้งปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ซึ่งผลลัพธ์จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 12 เดือน
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เริ่มต้นใช้ Biostimulator หรือต้องการแก้ไขริ้วรอยตื้น ๆ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ด้วยคุณสมบัติที่อ่อนโยนและให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นดูแลผิวด้วย Biostimulator Injections
ทั้งนี้ การเลือกใช้ Biostimulator ชนิดใดนั้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนการรักษาทุกครั้ง
ข้อดีของการฉีด Biostimulator
Biostimulator มีจุดเด่นที่แตกต่างจากการรักษาความงามแบบอื่น ๆ ด้วยกลไกการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย
- ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งหรือผิดธรรมชาติ
- ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง
- ปลอดภัย ได้รับการรับรองจาก FDA
- สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้
ข้อจำกัดของการฉีด Biostimulator
ก่อนตัดสินใจทำ Biostimulator ควรทราบถึงข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อประเมินความเหมาะสมและตั้งความคาดหวังได้อย่างถูกต้อง
- ใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน
- อาจเกิดอาการบวมและช้ำในช่วงแรก แต่ก็จะสามารถหายเองได้ในเวลาไม่นาน
- ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าทุกจุดได้ในครั้งเดียว จำเป็นต้องอาศัยความสม่ำเสมอ เหมือนกับการรักษารูปแบบอื่น ๆ และต้องทำซ้ำเพื่อรักษาผลลัพธ์
ฉีดแล้วอยู่ได้นานไหม
การฉีด Biostimulator จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ 2-3 เดือนหลังการรักษา และผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 6 เดือน โดยสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ สภาพผิว พฤติกรรมการดูแลผิว และการป้องกันแสงแดด เป็นต้น
การเตรียมตัวก่อนฉีด
การเตรียมตัวที่ดีก่อนฉีด Biostimulator จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยสามารถทำได้ ดังนี้
- งดการใช้ยาละลายลิ่มเลือดอย่างน้อย 7 วัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง
- งดการรับประทานอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- ทำความสะอาดหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้ามา
- แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา
การดูแลตัวเองหลังฉีด
การดูแลตัวเองที่ดีหลังการฉีด Biostimulator จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น โดยสามารถทำได้ ดังนี้
- ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมประมาณ 24-48 ชั่วโมงแรก
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการนวดใบหน้า เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักประมาณ 24-48 ชั่วโมง
- ใช้ครีมกันแดด SPF 50+ ทุกวัน
- งดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ ประมาณ 2 สัปดาห์
ฉีด Biostimulator พร้อมทำหัตถการอื่นได้หรือไม่
Biostimulator สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่นได้ เช่น โบท็อกซ์ หรือเลเซอร์ เป็นต้น แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม และเว้นระยะเวลาระหว่างการทำแต่ละหัตถการให้เพียงพอ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัย
สรุป
Biostimulator เป็นนวัตกรรมการรักษาความงามที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยกลไกการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย โดยเฉพาะบริเวณร่องแก้มและใต้ตา ซึ่งข้อดีที่สำคัญของ Biostimulator สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมและวางแผนการรักษา รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำในการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ครีมกันแดด ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและยาวนานที่สุด อาจจำเป็นต้องทำการรักษาซ้ำตามแผนการรักษาที่แพทย์แนะนำ