คำถามที่พบบ่อย
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบริการ และ ข้อมูลทั่วไปของ Zeniq Holistic Clinic
สเต็มเซลล์คืออะไร และมีกี่วิธีในการรักษา?
สเต็มเซลล์คือเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวและพัฒนาเป็นเซลล์อื่นๆ ที่มีหน้าที่ต่างๆ ได้ ซึ่งมักใช้ในการรักษาหลายโรค เช่น โรคข้อเสื่อม การฟื้นฟูผิวหนัง และรักษาผม ที่นิยมมี 2 วิธีหลัก คือ การฉีดสเต็มเซลล์หน้าการดริปสเต็มเซลล์ โดยที่ การฉีดสเต็มเซลล์หน้า จะฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปในชั้นผิวโดยตรง ทำให้เห็นผลเร็วและมีประสิทธิภาพสูง ส่วนการดริปสเต็มเซลล์ เป็นการให้สเต็มเซลล์ผ่านทางเส้นเลือด ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพโดยรวม
สเต็มเซลล์ปลอดภัยหรือไม่?
สเต็มเซลล์ที่ได้รับการรับรองและใช้โดยผู้เชี่ยวชาญมีความปลอดภัยสูง แต่ต้องทำการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ที่มีความชำนาญ
ผลลัพธ์ของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา การดูแลผิวหลังการ และสภาพร่างกายของผู้รับการรักษา
อายุเท่าไหร่ถึงเหมาะสมที่จะเริ่มใช้สเต็มเซลล์?
ไม่มีอายุที่เหมาะสมตายตัว แต่โดยทั่วไปมักแนะนำสำหรับผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือเมื่อเริ่มสังเกตเห็นสัญญาณของริ้วรอย โดยเฉพาะสำหรับการรักษาปัญหาผิวพรรณ และการฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อม
สเต็มเซลล์สามารถรักษาสิวได้หรือไม่?
สเต็มเซลล์สามารถช่วยฟื้นฟูผิวพรรณที่เสียหายจากสิว และลดการอักเสบของผิวหน้า แต่ไม่สามารถรักษาสิวโดยตรงได้
ควรทำสเต็มเซลล์บ่อยแค่ไหน?
ความถี่ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปอาจทำทุก 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์และความต้องการของแต่ละบุคคล
สเต็มเซลล์หน้าใสราคาเท่าไหร่ และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
การฉีดสเต็มเซลล์หน้าใส ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท อาจต้องทำซ้ำ 3 ถึง 5 ครั้งเพื่อเห็นผลชัดเจน
ดริปสเต็มเซลล์ราคาเท่าไหร่ และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
การดริปสเต็มเซลล์เริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท ควรทำอย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อคอร์ส
ฉีดสเต็มเซลล์ข้อเข่าราคาเท่าไหร่ และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
การฉีดสเต็มเซลล์ข้อเข่าจะมีราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ
ฉีดสเต็มเซลล์ผมราคาเท่าไหร่ และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ราคาเริ่มต้นประมาณ 30,000 บาท อาจต้องทำซ้ำหลายครั้ง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละบุคคล
Ozone Therapy คืออะไร?
Ozone Therapy คือการใช้ก๊าซโอโซนในการรักษาและฟื้นฟูสุขภาพ โดยจะช่วยลดการอักเสบ และกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์
Ozone Therapy ราคาเท่าไหร่?
ราคาของ Ozone Therapy จะอยู่ที่ประมาณ 6,500บาทต่อครั้ง ขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษา
PRP คืออะไร?
PRP คือการใช้พลาสมาจากเลือดที่มีความเข้มข้นสูงของเกล็ดเลือดผู้ป่วยเองในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อหรือกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวใหม่
PRP ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
PRP หน้าใส ทำให้ผิวสวย หน้าดูเด็กลง PRP ใต้ตา แก้ปัญหาถุงใต้ตาและรอยคล้ำ PRP เข่า รักษาอาการปวดเข่า PRP ผม แก้ปัญหาผมบางและศีรษะล้าน
PRP มีข้อเสียหรือผลข้างเคียงอะไรไหม?
PRP อาจทำให้เกิดอาการบวม, แดง หรือเจ็บบริเวณที่ฉีด แต่ผลข้างเคียงมักเกิดขึ้นในระยะสั้น จะหายไปเอง โดยใช้เวลาไม่นาน
ผลลัพธ์ของ PRP อยู่ได้นานแค่ไหน?
ระยะเวลาที่ผลของ PRP อยู่ได้นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สภาพผิว และบริเวณที่ทำการรักษาPRP หน้าและใต้ตา: ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน
PRP เข่า: ผลการรักษาอาจอยู่ได้นาน 6-18 เดือน
PRP ผม: ผลลัพธ์มักเห็นชัดหลังการรักษา 3-6 เดือน และอยู่ได้นานถึง 1-2 ปี
IV Drip คืออะไร?
IV Drip คือการให้สารอาหาร และวิตามินทางหลอดเลือดโดยตรงเพื่อบำรุงร่างกายและฟื้นฟูสุขภาพ
IV Laser Therapy คืออะไร?
IV Laser Therapy คือการรักษาที่ใช้แสงเลเซอร์ส่งผ่านทางหลอดเลือดดำ เพื่อฟื้นฟูและรักษาอาการต่างๆ เช่น รักษาผิวพรรณ หรือรักษาอาการบาดเจ็บ
IV Laser Therapy ราคาเท่าไหร่ และต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
ราคาประมาณ 5,000 บาทต่อครั้ง แนะนำให้ทำต่อเนื่อง 7-12 ครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และเว้นระยะห่างเพียง 1-2 วันต่อครั้ง
DFPP คืออะไร?
DFPP คือเทคโนโลยีการกรองพลาสมาจากเลือดโดยใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อกำจัดสารพิษหรือส่วนที่ไม่ต้องการในเลือด ช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น
DFPP ราคาเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายต่อครั้งอาจอยู่ที่ประมาณ 120,000 บาท ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา
DFPP มีผลข้างเคียงอะไรไหม?
หลังจากทำ DFPP พบภาวะแทรกซ้อนได้บ้าง เช่น ภาวะเขียวช้ำบริเวณเส้นเลือด ภาวะบวม ซึ่งส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและหายได้เองภายในระยะเวลาหนึ่ง
1. Filler คืออะไร และมีกี่ประเภท?
Filler คือสารเติมเต็มที่ใช้ในการปรับรูปหน้า เช่น การเติมเต็มริ้วรอย หรือเพิ่มปริมาณในส่วนต่างๆ ของใบหน้า มี 3 ประเภท Filler เนื้อนิ่ม มีความยืดหยุ่นสูง เนื้อสารละเอียด Filler เนื้อแข็ง มีความหนืดสูง เนื้อแน่น Filler เนื้อละเอียด เนื้อบางเบา
2. Filler มียี่ห้ออะไรบ้าง?
7 ยี่ห้อ Juvederm เป็นฟิลเลอร์จากอเมริกา Restylane เป็นฟิลเลอร์จากสวีเดน Belotero เป็นฟิลเลอร์จากสวิตเซอร์แลนด์ Neuramis เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลี Definisse เป็นฟิลเลอร์จากอิตาลี Teoxane เป็นฟิลเลอร์จากสวิตเซอร์แลนด์ e.p.t.q.เป็นฟิลเลอร์จากเกาหลีใต้
3. ฉีด Filler ตรงไหนได้บ้าง?
สามารถฉีด Filler ได้หลายจุดบนใบหน้า เช่น ร่องแก้ม, ใต้ตา, คาง, หน้าผาก, ปาก, และแถบแก้มตอบ เพื่อแก้ไขปัญหาหรือปรับปรุงรูปหน้า
4. ข้อดีของการฉีด Filler มีอะไรบ้าง?
การฉีด Filler ช่วยเพิ่มความเต่งตึงให้กับผิวหนัง ลดริ้วรอย ร่องลึก หรือเพิ่มความสมดุลให้ใบหน้า เห็นผลทันที ไม่ต้องพักฟื้น ปรับเปลี่ยนได้ ไม่ต้องผ่าตัด และฟิลเลอร์สามารถสลายตัวเองตามธรรมชาติ
5. ข้อเสียของการฉีด Filler มีอะไรบ้าง?
จำเป็นต้องฉีดซ้ำเป็นระยะ และอาจจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง รวมถึงผลลัพธ์ของการฉีดขึ้นอยู่กับฝีมือของแพทย์ผู้ทำ
6. ก่อนฉีด Filler ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
งดการใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น แอสไพริน อย่างน้อย 1 สัปดาห์ งดการดื่มแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมงก่อนฉีด งดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinol 1 สัปดาห์ ทำความสะอาดหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้ามา ควรแจ้งว่ามีประวัติการแพ้ยาหรือไม่ และควรพบแพทย์ในขณะที่ร่างกายแข็งแรง
7. หลังฉีด Filler ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการนวดบริเวณที่ฉีด Filler อย่างน้อย 1 สัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ใน 24 ถึง 48 ชั่วโมงแรก ห้ามนวด หรือกดบริเวณที่ฉีด งดการอาบน้ำร้อน ซาวน่า 24 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำ 1 สัปดาห์ ควรใช้เจลประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม และมาตามนัดเพื่อติดตามผล
8. หลังฉีด Filler มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
อาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้บ้าง เช่น รอยช้ำ อาการบวม หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
9. ฉีด Filler ใต้ตาช่วยแก้ปัญหาอะไร และอยู่ได้นานแค่ไหน?
เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาร่องตาลึก และถุงใต้ตา ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 6-12 เดือน
10. ฉีด Filler หน้าผากช่วยแก้ปัญหาอะไร และอยู่ได้นานแค่ไหน?
ช่วยแก้ปัญหาผู้ที่มีหน้าผากแบน และต้องการเพิ่มมิติ เพื่อสร้างความโค้งมนที่สวยงาม ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 12-18 เดือน
11. ฉีด Filler ร่องแก้มช่วยแก้ปัญหาอะไร และอยู่ได้นานแค่ไหน?
เป็นการแก้ไขร่องแก้มที่ลึก ซึ่งเป็นสัญญาณของวัยที่เพิ่มขึ้น ให้ผลลัพธ์นาน 12-18 เดือน
12. ฉีด Filler แก้มตอบช่วยแก้ปัญหาอะไร และอยู่ได้นานแค่ไหน?
ช่วยเพิ่มปริมาตรให้กับแก้มที่แบนหรือตอบ ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
13. ฉีด Filler ปากช่วยแก้ปัญหาอะไร และอยู่ได้นานแค่ไหน?
เป็นการเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก ผลลัพธ์อยู่ได้ 6-12 เดือน
14. ฉีด Filler คางช่วยแก้ปัญหาอะไร และอยู่ได้นานแค่ไหน?
ช่วยแก้ไขปัญหาคางสั้น และปรับสมดุลใบหน้า เพื่อเสริมโครงคางให้ชัดเจนขึ้น ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 12-18 เดือน
15. มีข้อควรระวังในการฉีด Filler หรือไม่?
ควรหลีกเลี่ยงการฉีด Filler หากมีประวัติการแพ้สารบางประเภท หรือมีการติดเชื้อในบริเวณที่ฉีด
1. Botox คืออะไร และช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
Botox คือสารที่ช่วยลดริ้วรอยโดยการคลายกล้ามเนื้อ สามารถใช้ลดริ้วรอยบนใบหน้า ปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น ลดกราม ยกกระชับรูขุมขน ลดเหงื่อและกลิ่นตัว ลดขนาดน่องและกล้ามแขน ช่วยรักอาการปวดศีรษะไมเกรน ลดอาการกล้ามเนื้อกระตุก ช่วยในการรักษาอาการตาเหล่ และบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังได้
2. Botox มีกี่ยี่ห้อ?
6 ยี่ห้อ ได้แก้ Allergan เป็นBotoxจากอเมริกา Dysport เป็นBotoxจากอังกฤษ Xeomin เป็นBotoxจากเยอรมัน Aestox เป็นBotoxจากเกาหลี Nabota เป็นBotoxจากเกาหลี Hugel เป็นBotoxจากเกาหลี
3. ข้อดีของการฉีด Botox มีอะไรบ้าง?
ลดเลือนริ้วรอยได้อย่างเป็นธรรมชาติ และมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพักฟื้นนาน กลับไปทำงานได้ทันที ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ ชะลอการเกิดริ้วรอย รักษาความอ่อนเยาว์ของผิว
4. หลังฉีด Botox มีข้อควรระวังหรือผลข้างเคียงอะไรไหม?
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ รอยช้ำบริเวณที่ฉีด อาการบวมเล็กน้อย และรู้สึกตึงผิวชั่วคราว ข้อควรระวังหลังการฉีด คือ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1-2 วัน รวมถึงไม่ควรนอนคว่ำ 4-6 ชั่วโมงแรก
5. ฉีด Botox กี่วันถึงจะเห็นผล?
จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่วันที่ 3-7 หลังการฉีด โดยผลลัพธ์จะชัดเจนที่สุดในสัปดาห์ที่ 2 และคงอยู่ได้นาน 4-6 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพผิวของแต่ละบุคคล ยี่ห้อและปริมาณ Botox ที่ใช้ ตำแหน่งที่ฉีด และการดูแลหลังการฉีด
6. หลังฉีด Botox ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
งดนอนราบเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงหลังการฉีด หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดเป็นเวลา 14 วัน เว้นระยะการฉีดครั้งต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ งดการนวดหน้าหรือกดบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1 สัปดาห์ ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยในการขับสารพิษ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด และหากมีอาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
Biostimulator คืออะไร?
Biostimulator เป็นสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนชนิดพิเศษที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยและความหย่อนคล้อยของผิว ซึ่งช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์และเต่งตึง
Biostimulator กับ Filler แตกต่างกันอย่างไร?
Biostimulator จะทำหน้าที่เสมือนตัวกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ตามธรรมชาติ แต่ Filler เป็นการเติมเต็มด้วยสารที่มีความหนืดเข้าไปในชั้นผิวโดยตรง
Biostimulator เหมาะกับส่วนไหนของร่างกาย?
Biostimulator เหมาะสำหรับการรักษาในพื้นที่กว้างทั่วใบหน้า โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องการเพิ่มความกระชับและความหนาแน่นของผิว
ก่อนฉีด Biostimulator ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
งดการใช้ยาละลายลิ่มเลือดอย่างน้อย 7 วัน หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง งดการรับประทานอาหารเสริมที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ ทำความสะอาดหน้าให้สะอาด ไม่ควรแต่งหน้ามา และแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวหรือแพ้ยา
หลังฉีด Biostimulator ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมประมาณ 24-48 ชั่วโมงแรก ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดในการนวดใบหน้า เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักประมาณ 24-48 ชั่วโมง ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และงดการทำทรีตเมนต์อื่น ๆ ในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์
ผลลัพธ์จากการฉีด Biostimulator อยู่ได้นานแค่ไหน?
จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ตั้งแต่ 2-3 เดือนหลังการรักษา ผลลัพธ์จะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง 6 เดือน โดยสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ สภาพผิว พฤติกรรมการดูแลผิว และการป้องกันแสงแดด เป็นต้น
มีข้อควรระวังหรือข้อจำกัดอะไรในการฉีด Biostimulator?
ข้อจำกัดคือ ใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลชัดเจน อาจเกิดอาการบวมและช้ำในช่วงแรก แต่ก็จะสามารถหายเองได้ในเวลาไม่นาน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหน้าทุกจุดได้ในครั้งเดียว จำเป็นต้องอาศัยความสม่ำเสมอ
สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะทำการรักษา ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่มีโรคเลือดออกง่าย หรือผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
กายภาพบำบัดคืออะไร?
- กายภาพบำบัดคือกระบวนการรักษาที่ใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การออกกำลังกาย การประคบร้อนหรือเย็น การนวด และการปรับท่าทาง เพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกาย
ขั้นตอนในการทำกายภาพบำบัดเป็นอย่างไร?
การทำกายภาพบำบัดเริ่มต้นด้วยการประเมินอาการและการวินิจฉัยจากนักกายภาพบำบัด จากนั้นจะมีการกำหนดแผนการรักษาที่เหมาะสมและรับคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัด
การทำกายภาพบำบัดมีผลถาวรไหม หรือแค่ช่วยบรรเทาชั่วคราว?
การทำกายภาพบำบัดช่วยบรรเทาอาการในระยะสั้นและฟื้นฟูการทำงานของร่างกาย ในบางกรณีอาจให้ผลถาวร หากผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำและรักษาต่อเนื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการ และการตอบสนองของคนไข้
ต้องใช้เวลาในการทำกายภาพบำบัดนานแค่ไหน?
การทำกายภาพบำบัดอาจใช้เวลาตั้งแต่ 1 ชั่วโมงต่อครั้ง โดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของอาการ
การทำกายภาพบำบัดมีความเสี่ยงหรือไม่?
การทำกายภาพบำบัดโดยทั่วไปมีความเสี่ยงต่ำ แต่การทำกายภาพบำบัดโดยไม่อยู่ในการดูแลของนักกายภาพบำบัดที่เชี่ยวชาญอาจทำให้อาการแย่ลงได้
มีข้อควรระวังหรือข้อห้ามในการทำกายภาพบำบัดหรือไม่?
การทำกายภาพบำบัดควรหลีกเลี่ยงในกรณีที่มีอาการบาดเจ็บรุนแรง หรือมีโรคประจำตัวที่ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือโรคเรื้อรังต่างๆที่อาการยังไม่มั่นคง
หลังทำกายภาพบำบัดต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังทำกายภาพบำบัดควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่หนักหน่วงในช่วงแรก รวมถึงทำตามคำแนะนำจากนักกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง
ถ้ารักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรทำอย่างไร?
แนะนำให้รักษาต่อเนื่อง 1 ถึง 2 เดือน หากอาการยังคงไม่ดีขึ้น ควรปรึกษานักกายภาพบำบัดเพื่อปรับแผนการรักษาใหม่ หรือลองวิธีการรักษาที่เหมาะสมมากขึ้น
ถ้าทำกายภาพบำบัดแล้วอาการดีขึ้น ต้องทำต่อเนื่องหรือหยุดได้เลย?
แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว แต่การทำกายภาพบำบัดต่อเนื่องช่วยเสริมความแข็งแรงและป้องกันการเกิดอาการซ้ำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด
Cryotherapy คืออะไร?
Cryotherapy คือการรักษาด้วยการใช้อุณหภูมิที่ต่ำมากเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการอักเสบ และยังมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคผิวหนัง รวมถึงยังช่วยลดอาการปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ และลดการอักเสบโดยการลดอุณหภูมิของผิวหนัง
ข้อดีของการกายภาพบำบัดด้วย Cryotherapy มีอะไรบ้าง?
ช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการเจ็บปวด และส่งเสริมการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อหลังการบาดเจ็บ รวมถึงช่วยลดอาการปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
มีข้อควรระวังหรือข้อห้ามของการกายภาพบำบัดด้วย Cryotherapy หรือไม่?
ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังที่ละเอียดอ่อน หรือผู้ที่มีอาการไวต่อความเย็น
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนทำ Cryotherapy?
ควรสวมเสื้อผ้าที่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก และแจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้อง
หลังทำ Cryotherapy ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
ควรปรึกษาแพทย์โดยเฉพาะหากมีโรคประจำตัวหรือกำลังตั้งครรภ์ ทำความสะอาดผิว และงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ หากมีประวัติการแพ้ความเย็น หรือมีอาการผิดปกติเมื่อสัมผัสความเย็น ควรแจ้งให้ผู้ให้บริการทราบก่อนเริ่มการรักษา ควรงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการคลื่นไส้ ควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนเข้ารับการรักษา เพื่อให้ร่างกายพร้อมรับการบำบัด
ทำ Cryotherapy ราคาเท่าไหร่?
ราคา Cryotherapy อาจอยู่ที่ 1,600 บาท/ครั้ง **ไม่รวมค่าตรวจประเมินและค่าบริการทางคลินิก**
Shock Wave Therapy คืออะไร?
Shock Wave Therapy คือการรักษาด้วยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและบรรเทาอาการปวด มีผลต่อกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น กลไกการทำงานคือการกระตุ้นให้เกิดการบาดเจ็บเล็กน้อย ซึ่งจะกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นวิธีการรักษาที่ไม่รุกล้ำ (Non-Invasive) ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องมีการผ่าตัด หรือสอดใส่อุปกรณ์ใด ๆ เข้าไปในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว และมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการรักษาแบบดั้งเดิม
ข้อดีของการรักษาด้วย Shock Wave มีอะไรบ้าง?
ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ ลดอาการเจ็บปวด และเพิ่มการไหลเวียนเลือด และสามารถเห็นผลลัพธ์ได้รวดเร็ว
อาการแบบไหนที่เหมาะกับการรักษาด้วย Shock Wave?
เหมาะกับการรักษาอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดเอ็นข้อสะโพก และปวดข้อไหล่ หรือผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม
มีข้อควรระวังหรือข้อห้ามของการรักษาด้วย Shock Wave หรือไม่?
ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีปัญหาการไหลเวียนเลือดไม่ดี ผู้ที่มีเนื้องอก – เนื้อร้าย และผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือผู้ที่สงสัยว่ามีการตั้งครรภ์
รักษาด้วย Shock Wave เจ็บไหม?
การรักษาด้วย Shock Wave อาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยในระหว่างการทำการรักษา แต่ไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวดรุนแรง ทั้งนี้ระดับความเจ็บปวดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับบริเวณที่ได้รับการรักษา แพทย์สามารถปรับระดับความแรงของคลื่นให้เหมาะสมกับความทนของผู้ป่วยแต่ละรายได้
Shock Wave Therapy ราคาเท่าไหร่?
ราคา Shock Wave Therapy มีราคาที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไป ราคาต่อครั้งอาจอยู่ในช่วง 1,500 – 5,000 บาท ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ชนิดของเครื่อง Shock Wave ที่ใช้ ตำแหน่งและความรุนแรงของอาการ จำนวนครั้งที่ต้องรักษาอย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ หรือสถานพยาบาลโดยตรงเพื่อรับทราบราคาที่แน่นอน เนื่องจากอาจมีโปรโมชัน หรือแพ็กเกจการรักษาที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้
PMS Therapy คืออะไร?
PMS Therapy คือเครื่องที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่ต่ำเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในร่างกาย
PMS Therapy ช่วยรักษาอะไรได้บ้าง?
อาการออฟฟิศซินโดรมและอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับ เส้นประสาท กล้ามเนื้อ พังผืด และเอ็น
อาการทางระบบประสาท เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาตจาก Stroke และการบาดเจ็บของไขสันหลัง
ปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก เช่น การเสื่อมของกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และกระดูกสันหลังยุบตัวจนกดทับเส้นประสาท
อาการเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนปลาย เช่น อาการชาจากปลายประสาท เส้นประสาทถูกกดทับ อาการเส้นประสาทอักเสบ
การบาดเจ็บจากสาเหตุภายนอก เช่น อุบัติเหตุ หรือการเล่นกีฬา
ข้อดีของการรักษาด้วย PMS Therapy มีอะไรบ้าง?
ผู้ป่วยสามารถสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังการรักษา เร่งกระบวนการฟื้นตัวของระบบประสาท ทำให้การทำงานกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้น ส่งเสริมการเกิด Neuroplasticity หรือความยืดหยุ่นของระบบประสาท สามารถใช้ได้กับทุกระยะของโรค ไม่ว่าจะเป็นอาการเฉียบพลัน กึ่งเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง ไม่เพียงแต่บรรเทาอาการปวด แต่ยังกระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อใหม่ และสามารถให้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพแม้จำนวนครั้งในการรักษาไม่มาก
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนการรักษาด้วย PMS Therapy?
ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อประเมินความเหมาะสมในการรักษา เลือกใช้เสื้อผ้าที่สวมใส่สบายและเอื้อต่อการรักษา นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันรักษา
หลังการรักษาด้วย PMS Therapy ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ได้รับการรักษาด้วยความร้อนหรือความเย็นจัด งดการออกกำลังกายหนัก ๆ ในวันที่ได้รับการรักษา ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยในการขับสารพิษ สังเกตอาการผิดปกติ และแจ้งแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดหากมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวด บวม หรือมีผื่นแดง เป็นต้น
PMS Therapy ราคาเท่าไหร่?
ราคา PMS Therapy อยู่ที่ 1,790 บาท/ครั้ง **ไม่รวมค่าตรวจประเมินและค่าบริการทางคลินิก**
มีข้อควรระวังหรือข้อห้ามในการรักษาด้วย PMS Therapy หรือไม่?
ห้ามใส่เครื่องประดับและ ตรวจสอบอุปกรณ์โลหะทั้งหมดก่อนเริ่มการรักษา รวมถึงเครื่องมือสื่อสาร ผู้ที่มีประวัติโรคหัวใจโดยยังไม่ได้รับการรักษา ผู้ที่ใส่ Pacemaker ควรแจ้งก่อนเข้ารับการรักษา สตรีมีครรภ์ควรระวังการทำบริเวณหลังส่วนล่างและบริเวณใกล้เคียง ห้ามใช้กับผู้ที่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังอยู่ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ
High Power Laser Therapy คืออะไร?
High Power Laser Therapy คือ การใช้คลื่นแสงในการบำบัดอาการปวด และการอักเสบจากการบาดเจ็บของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกาย ส่งผลให้เนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น หรือข้อต่อ สามารถซ่อมแซมตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
High Power Laser Therapy ช่วยรักษาอาการอะไรได้บ้าง?
ช่วยรักษาอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดข้อเสื่อม ปวดกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ เร่งกระบวนการซ่อมแซมของบาดแผล ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา และช่วยลดอาการชา
ต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนทำ High Power Laser Therapy?
แจ้งประวัติการแพ้ยาหรือการรักษาอื่น ๆ ให้แพทย์ทราบ หลีกเลี่ยงการใช้ครีม หรือโลชั่นบริเวณที่จะทำการรักษา สวมเสื้อผ้าที่สามารถเปิดบริเวณที่จะรักษาได้สะดวก งดการรับประทานยาแก้ปวด หรือยาต้านการอักเสบก่อนการรักษา (ยกเว้นได้รับคำแนะนำจากแพทย์)
หลังทำ High Power Laser Therapy ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ได้รับการรักษาด้วยความร้อนหรือความเย็นจัด งดการออกกำลังกายหนัก ๆ ในวันที่ได้รับการรักษา ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อช่วยในการขับสารพิษ สังเกตอาการผิดปกติ และแจ้งแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดหากมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวด บวม หรือมีผื่นแดง เป็นต้น
High Power Laser Therapy มีข้อควรระวังหรือข้อห้ามหรือไม่?
การรักษาด้วยเลเซอร์ไม่เหมาะสมในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ และผู้มีประวัติลมชัก ผู้ที่ไวต่อแสง และผู้ที่ได้รับยาฉีดสเตียรอยด์ รวมถึงห้ามรักษาในบริเวณผ่าตัดใส่เหล็ก
ทำ High Power Laser Therapy ราคาเท่าไหร่?
ราคาเริ่มต้นที่ 1,550 บาทต่อครั้ง ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความซับซ้อนของอาการและจำนวนจุดที่ต้องรักษา
ออฟฟิศซินโดรมรักษาหายไหม?
ออฟฟิศซินโดรมสามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ แต่การ “หาย” ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้ ความรุนแรงของอาการ ระยะเวลาที่เป็น ความร่วมมือในการรักษา การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ถ้าไม่สะดวกมาที่คลินิก มีบริการกายภาพบำบัดที่บ้านหรือออนไลน์หรือไม่?
เบื้องต้นในตอนนี้ยังไม่มีนโยบายการรักษาระยะไกลค่ะ
หลังการทำกายภาพบำบัดต้องใช้อุปกรณ์เสริมอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?
หลังจากการทำกายภาพบำบัด บางกรณีอาจต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ผ้าพันข้อหรือรองเท้าที่ช่วยรองรับการเคลื่อนไหว ขึ้นอยู่กับคำแนะนำของนักกายภาพบำบัด
มีแพ็คเกจหรือส่วนลดสำหรับการรักษาในครั้งถัดไปหรือไม่?
เบื้องต้นในตอนนี้ยังไม่มีนโยบายค่ะ สามารถปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายบริการลูกค้า
คลินิกเปิด-ปิดทำการกี่โมง
09.00-21.00
คลินิกเปิดวันไหนบ้าง
เปิดทุกวัน
วิธีเดินทางไปคลินิก
BTS นานา(ทางออก2) ชั้น B โรงแรมแลนด์มาร์ค